พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าใช้จ่ายโรงงานซ่อมรถโบกี้เป็นค่าเสียหายโดยตรง การลดค่าเสียหายและผลถึงจำเลยอื่น
ค่าใช้จ่ายทั่วไปในโรงงาน เช่น ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปาค่าใช้เครื่องจักร เครื่องมือกล และค่าควบคุม คือค่าใช้จ่ายบริหารส่วนกลางของโจทก์ เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องมีแน่นอน และโจทก์ได้ใช้ไปในการซ่อมรถโบกี้ของโจทก์ที่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการกระทำละเมิดโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายทั้งสองส่วนนี้ได้
เมื่อศาลฎีกากำหนดค่าเสียหายลดลง และมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ไม่ได้ฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1)ประกอบด้วย มาตรา 247
เมื่อศาลฎีกากำหนดค่าเสียหายลดลง และมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ไม่ได้ฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1)ประกอบด้วย มาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าให้แพ้ชนะคดี: ศาลต้องรอเอกสารครบถ้วนก่อนวินิจฉัยผิดสัญญา
ในวันนัดสืบพยานโจทก์คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้ส่งหนังสือสัญญาซื้อขายไปตรวจพิสูจน์ว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ขายเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ ส. หรือไม่ หากเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงฝ่ายจำเลยยอมแพ้ ถ้าหากไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง หากฝ่ายใดไม่ยินยอมออกค่าใช้จ่ายให้ถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากันและมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2532 หากไม่นำมาศาลจะถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่คู่ความท้ากันครั้นถึงกำหนดจำเลยได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว ดังนี้ ในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ ทั้งยังไม่ทราบค่าตรวจพิสูจน์ว่าเป็นจำนวนเท่าใดการที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นจึงมิใช่ข้อที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงโดยผิดเงื่อนไขตามคำท้าแต่เป็นกรณีที่ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องวางเงินค่าตรวจพิสูจน์การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์และวินิจฉัยว่าโจทก์แพ้คดีคำท้านั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้าตรวจลายมือชื่อและการงดการส่งเอกสารตรวจพิสูจน์ก่อนถึงกำหนด
ในวันนัดสืบพยานโจทก์คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้ส่งหนังสือสัญญาซื้อขายไปตรวจพิสูจน์ว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ขายเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ ส.หรือไม่ หากเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงฝ่ายจำเลยยอมแพ้ ถ้าหากไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง หากฝ่ายใดไม่ยินยอมออกค่าใช้จ่ายให้ถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากันและมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2532 หากไม่นำมา ศาลจะถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่คู่ความท้ากัน ครั้นถึงกำหนดจำเลยได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว ดังนี้ แม้ว่าโจทก์จะไม่ได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางศาลภายในกำหนดก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์เพราะยังอยู่ในระหว่างรวบรวมเอกสาร ทั้งยังไม่ทราบค่าตรวจพิสูจน์ว่าเป็นจำนวนเท่าใด การที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นจึงมิใช่ข้อที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงโดยผิดเงื่อนไขตามคำท้าแต่เป็นกรณีที่ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์และวินิจฉัยว่าโจทก์แพ้คดีตามคำท้านั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบต้องสอดคล้องกับข้อต่อสู้เดิม การขีดฆ่าลายมือชื่อไม่ใช่การไม่ได้ลงลายมือชื่อ
การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การสู้คดีว่า มิได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาท ย่อมมีความหมายชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่ได้ลงลายมือชื่อหรือไม่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3อยู่ด้านหลังเช็คพิพาทและเมื่อลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่มีแล้ว การขีดฆ่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ได้มีการขีดฆ่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3แล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้สลักหลังจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การสู้คดีไว้ และการที่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกขีดฆ่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 อยู่ด้านหลังเช็คพิพาทลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยังคงมีอยู่ แต่จำเลยที่ 2และที่ 3 จะต้องรับผิดในฐานะผู้สลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2601/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วันนำเข้าสินค้า: กำหนดจากวันที่เรือเข้าเทียบท่า ไม่ใช่การยื่นใบขน
วันนำสินค้าเข้านั้น หมายถึงวันที่ยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร มิใช่วันที่ผู้นำเข้ายื่นใบขนสินค้าเพื่อชำระภาษีอากร เมื่อสินค้าของโจทก์และของบริษัท ท. นำเข้าวันเดียวกันโดยเรือลำเดียวกัน แม้โจทก์จะยื่นใบขนสินค้าก่อนก็ไม่ถือว่าโจทก์และบริษัท ท. ได้นำสินค้าเข้ามาต่างวันกัน การเปรียบเทียบราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้ากับราคาสินค้าที่บริษัท ท. นำเข้าซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนโจทก์จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2601/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาศุลกากรที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยพิจารณาจากราคาตลาดและวันนำเข้าสินค้า
วันนำสินค้าเข้า หมายถึงวันที่ยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร มิใช่วันที่ผู้นำเข้ายื่นใบขนสินค้าเพื่อชำระภาษีอากร เมื่อสินค้าของโจทก์และของบริษัทท.นำเข้าวันเดียวกันโดยเรือลำเดียวกันแม้โจทก์จะยื่นใบขนสินค้าก่อนก็ไม่ถือว่าโจทก์และบริษัทท.ได้นำสินค้าเข้ามาต่างวันกันการเปรียบเทียบราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้ากับราคาสินค้าที่บริษัทท.นำเข้าซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนโจทก์เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2601/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาศุลกากร: การเปรียบเทียบราคาจากใบขนสินค้าที่นำเข้าวันเดียวกัน และการพิจารณาเกรดสินค้า
วันนำสินค้าเข้านั้น หมายถึงวันที่ยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร มิใช่วันที่ผู้นำเข้ายื่นใบขนสินค้าเพื่อชำระภาษีอากร เมื่อสินค้าของโจทก์และของบริษัท ท. นำเข้าวันเดียวกันโดยเรือลำเดียวกัน แม้โจทก์จะยื่นใบขนสินค้าก่อนก็ไม่ถือว่าโจทก์และบริษัท ท. ได้นำสินค้าเข้ามาต่างวันกันการเปรียบเทียบราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้ากับราคาสินค้าที่บริษัท ท.นำเข้าซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนโจทก์จึงถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2590/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกระทรวงเจ้าสังกัดต่อความเสียหายจากพนักงานขับรถในราชการ ตามมาตรา 76
แม้กรมปศุสัตว์จำเลยที่ 2 จะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 2 ก็เป็นส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของจำเลยที่ 3 ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 216 ข้อ 13 และข้อ 14 ที่แก้ไขใหม่ เมื่อจำเลยที่ 1 พนักงานขับรถของจำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 กระทรวงเจ้าสังกัดก็ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2519/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนโดยปริยายในสัญญาประกันภัยต่อ: ความรับผิดของตัวแทนเมื่อตัวการต่างประเทศ
ถึงจำเลยจะเป็นเพียงบริษัทนายหน้าในการประกันภัย และที่ปรึกษาประกันภัย แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยแสดงออกในการติดต่อให้โจทก์นำเอาความเสี่ยงภัยที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไปประกันภัยต่อแก่ผู้รับประกันภัยซึ่งอยู่ต่าง-ประเทศนั้นเกินเลยกว่าการเป็นนายหน้า แม้ผู้รับประกันภัยต่อมิได้มีหนังสือแต่งตั้งจำเลยเป็นตัวแทนให้กระทำในกิจการดังกล่าว แต่การปฏิบัติของผู้รับประกันภัยต่อได้ยินยอมให้จำเลยปฏิบัติงานแทนตนตลอดมา จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนของผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศโดยปริยายตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 วรรคสองในกรณีเช่นนี้ตัวการไม่จำต้องแต่งตั้งตัวแทนเป็นหนังสือและไม่อยู่ในบังคับของมาตรา798 เมื่อตัวการซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยต่ออยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่าง-ประเทศ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัยต่อแทนตัวการ จึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยต่อตามลำพังตาม ป.พ.พ. มาตรา 824
จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกตามความหมายในหมวดที่ว่าด้วยความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกจำเลยไม่มีสิทธิรับประกันภัยตามกฎหมายเพราะไม่มีใบอนุญาตและไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่จำเลยไม่ได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกตามความหมายในหมวดที่ว่าด้วยความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกจำเลยไม่มีสิทธิรับประกันภัยตามกฎหมายเพราะไม่มีใบอนุญาตและไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่จำเลยไม่ได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2519/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนประกันภัยต่อต่างประเทศ: ความสัมพันธ์ทางกฎหมายและการรับผิดในสัญญา
การที่จำเลยเข้ามาติดต่อกับบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศรับโอนการเสี่ยงภัยของโจทก์เพื่อเฉลี่ยความรับผิดที่อาจจะเกิดมีขึ้นต่อทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยตามความต้องการของโจทก์นั้น การกระทำของจำเลยเกินเลยกว่าหน้าที่ของนายหน้าซึ่งเป็นเพียงผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้เขาได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอกเท่านั้น แม้ที่หัวกระดาษหนังสือตอบโต้ของจำเลยระบุว่า จำเลยเป็นนายหน้าและที่ปรึกษาประกันภัยก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยแสดงออกตั้งแต่มีหนังสือถึงโจทก์แจ้งข้อกำหนดและเงื่อนไขต่าง ๆในกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศให้โจทก์ทราบ การรับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ การจ่ายค่าสินไหมทดแทนความเสียหายของผู้เอาประกันภัยตามจำนวนที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามที่เรียกร้องอีกทั้งเมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยจ่ายคืนเบี้ยประกันภัยส่วนที่เกินจำเลยก็แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากำลังติดต่อเร่งรัดบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศอยู่ และในการติดต่อบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศของโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบมาทุกระยะ และเมื่อบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศดำเนินการต่าง ๆ ก็กระทำผ่านจำเลย ดังนี้ แม้ว่าบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศมิได้มีหนังสือแต่งตั้งจำเลยเป็นตัวแทนให้กระทำในกิจการดังกล่าวแต่การปฏิบัติของบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้ยินยอมให้จำเลยปฏิบัติงานแทนตนตลอดมา จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนของบริษัทผู้รับประกันภัยต่อในต่างประเทศโดยปริยายตาม ป.พ.พ.มาตรา 797 วรรคสอง ในกรณีเช่นนี้ตัวการไม่จำต้องแต่งตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ และไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา 798 เมื่อตัวการอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัยต่อแทนตัวการ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยต่อตามลำพังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824