พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,435 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดอำนาจทนายจำเลยหลังจำเลยถึงแก่กรรม และผลกระทบต่อฎีกา
จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมขณะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ผู้มรณะภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมจนกระทั่งได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟังแล้วถือได้ว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ตัวแทนหรือทนายจำเลยที่ 2จะจัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 แล้ว ทนายจำเลยที่ 2จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนอีกต่อไป ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาหลังจากที่หมดอำนาจแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันภัยสินค้า บทสันนิษฐานความเสียหาย และการพิสูจน์มูลค่าความเสียหายที่แท้จริง
โจทก์เอาประกันภัยสต๊อกสินค้า รองเท้าทุกชนิดในร้านค้าของโจทก์ไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1รับประกันภัยเฉพาะรองเท้าและสินค้าที่อยู่ในร้านโจทก์ ดังนั้นสต๊อกสินค้า รองเท้าทุกชนิด ซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยไว้จึงมีความหมายรวมถึงรองเท้าและเครื่องหนังทุกชนิด ที่โจทก์มีไว้ในร้านเพื่อขาย มิใช่กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองแต่รองเท้าอย่างเดียว เมื่อสินค้าในร้านของโจทก์ได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877ได้สันนิษฐานเป็นคุณแก่โจทก์ไว้ก่อนว่า โจทก์มีสิทธิจะเรียกให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้เต็มจำนวนที่เอาประกันภัยไว้เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์หักล้างได้ว่า ความเสียหายของสินค้านั้นต่ำกว่าจำนวนเงินที่ได้เอาประกันไว้ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงจำนวนสินค้าที่ถูกเพลิงไหม้อันแท้จริงได้ และน่าเชื่อว่าขณะเกิดเพลิงไหม้สินค้ารองเท้าและเครื่องหนังที่วางจำหน่ายอยู่ในร้านโจทก์ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในหนี้เช็ค เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และโจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องหนี้กู้ยืม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินตามเช็ค โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปใช้ในกิจการของโรงพิมพ์ แล้วจำเลยที่ 1ออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ มิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับเช็คพิพาท และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเช็คพิพาทจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือฐานะอื่นใด แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คพิพาท จึงไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนอันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ในมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้กู้ยืมเงิน แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จึงบังคับจำเลยที่ 2 ตามคำฟ้องไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ดังได้วินิจฉัยแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะได้รับวินิจฉัยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในเช็ค หากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและไม่ได้ฟ้องขอหนี้ร่วม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินตามเช็ค โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปใช้ในกิจการของโรงพิมพ์ แล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ มิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับเช็คพิพาท และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเช็คพิพาท จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือฐานะอื่นใด แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คพิพาท จึงไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิด แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนอันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้กู้ยืมเงิน แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จึงบังคับจำเลยที่ 2 ตามคำฟ้องไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ดังได้วินิจฉัยแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะได้รับวินิจฉัยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับโอนแคชเชียร์เช็คโดยไม่สุจริต คบคิดฉ้อฉล ธนาคารไม่ต้องรับผิด
ธนาคารจำเลยที่ 1 ได้ออกแคชเชียร์เช็คแก่จำเลยที่ 6โดยเชื่อตามคำหลอกลวงว่าเช็คที่จำเลยที่ 6 นำมาเข้าบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ที่มีจำเลยที่ 6 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ 1 เป็นของลูกค้าชั้นดีสามารถเรียกเก็บเงินได้ แต่ต่อมาปรากฏว่าเป็นเช็คที่จำเลยที่ 6 สั่งจ่ายและถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้ไม่มีเงินเข้าบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ที่ธนาคารสาขาของจำเลยที่ 1 แล้วในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 6 ได้สลักหลังโอนแคชเชียร์เช็คแก่โจทก์แล้วเลิกกิจการหลบหนีไป ต่อมาโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารจำเลยที่ 1 ปฏิเสธการใช้เงิน เมื่อปรากฏว่ามารดาโจทก์และพี่น้องของภรรยาจำเลยที่ 6 ได้ทราบปัญหาเกี่ยวกับความไม่สุจริตของจำเลยที่ 6จากเจ้าหน้าที่ของธนาคารจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ตอนเย็นของวันที่ออกแคชเชียร์เช็คแล้ว เชื่อได้ว่ามารดาโจทก์และน้องสาวโจทก์ต้องรีบแจ้งให้โจทก์ทราบตั้งแต่คืนวันนั้นว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นน้องเขยของโจทก์กำลังมีปัญหากับธนาคารเพราะโจทก์ยังมีเช็คของจำเลยที่ 6จำนวน 60 ฉบับ อยู่ที่ตนที่ยังไม่ได้นำไปเรียกเก็บเงิน จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทราบถึงความไม่สุจริตของจำเลยที่ 6 ที่ได้แคชเชียร์เช็คมาจากธนาคารจำเลยที่ 1 ตั้งแต่คืนของวันที่ออกแคชเชียร์เช็คแล้วการที่โจทก์รับโอนไว้โดยอ้างว่าเพื่อชำระหนี้ในคืนนั้นจึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต คบคิดกันฉ้อฉลเพื่อยืมมือโจทก์มาฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ประกอบมาตรา 989ธนาคารจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามแคชเชียร์เช็คแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองสินสมรส: สิทธิเรียกร้องเงินจากการบังคับคดีขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับจำนองไม่ทราบเจตนาเจ้าของร่วม
การที่ผู้ร้องอ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทอยู่ครึ่งหนึ่งและไม่ได้ยินยอมให้นำทรัพย์พิพาทส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วยนั้น ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของผู้ร้องว่า โจทก์ผู้รับจำนองได้ทราบเช่นนั้นไม่ การจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพันทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำนองและศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนองได้แล้วเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่จำเลยนำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้ร้องนั้น หากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกคดีเรื่องหนึ่งต่างหากจะมาร้องขอกันส่วนให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงผู้เสียหายในที่ดินของตนเอง ศาลพิจารณาเหตุสำคัญผิด และเจตนาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความตามคำแถลงรับของทนายจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลตามใบรับรองแพทย์ต้องใช้เวลาในการรักษามากกว่า 20 วัน จึงจะหายเป็นปกติจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20 วัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในบทที่หนักกว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความอันเป็นบทที่เบากว่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมไม่ต้องเสียสิทธิขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบ หากไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 มิได้จำกัดสิทธิผู้เป็นเจ้าของร่วมมิให้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของร่วมที่ศาลสั่งริบ เจ้าของร่วมที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจึงมีสิทธิร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบในส่วนของตนได้กึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมมีสิทธิขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบ หากมิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 มิได้จำกัดสิทธิผู้เป็นเจ้าของร่วมมิให้ร้องขอคืนทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของร่วมที่ศาลสั่งริบ เจ้าของร่วมที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด จึงมีสิทธิร้องขอคืนทรัพย์ที่ศาลสั่งริบในส่วนที่เป็นของตนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นความผิดเดิมหลังจำเลยยอมรับผิดในชั้นอุทธรณ์ ถือเป็นการยุติแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจำเลยอุทธรณ์ว่ายอมรับผิด ไม่ขอต่อสู้คดีหรือโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์อีก เพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจะกลับมายื่นฎีกาในปัญหานี้อีกไม่ได้ถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216