คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 976 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์เป็นของศาลอุทธรณ์ คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดห้ามฎีกา
อำนาจในการสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์เป็นอำนาจเฉพาะของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวรวมตลอดถึงเรื่องการพิจารณาหลักประกันด้วย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดคู่ความจะฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์มิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการพิจารณาคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด
กรณีที่พิพาทกันในชั้นขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ซึ่งจำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์นั้น อำนาจในการสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตเป็นอำนาจเฉพาะของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้รวมตลอดถึงเรื่องการพิจารณาหลักประกันด้วย คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดคู่ความจะฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์มิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อต่อสู้เรื่องเช็คไม่มีมูลหนี้และการปลอมแปลงเช็ค เป็นการต่อสู้เฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
การที่จำเลยให้การว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยมอบเป็นประกันการชำระหนี้แก่ จ. และได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นกันไปแล้วจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ และผู้ทรงคนก่อนลงวันที่ออกเช็คโดยไม่สุจริต ทำให้เช็คพิพาทเป็นเอกสารปลอมนั้น เป็นคำให้การต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน ๆ โดยจำเลยมิได้อ้างว่าโจทก์กับผู้ทรงคนก่อนสมคบกันฉ้อฉลจำเลยแต่ประการใด ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 43/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อต่อสู้เรื่องเช็คไม่มีมูลหนี้และการลงวันที่เช็คโดยไม่สุจริต เป็นข้อต่อสู้เฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
การที่จำเลยให้การว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยมอบเป็นประกันการชำระหนี้แก่ จ. และได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นกันไปแล้วจึงเป็นเช็คที่ไม่มีมูลหนี้ และผู้ทรงคนก่อนลงวันที่ออกเช็คโดยไม่สุจริต ทำให้เช็คพิพาทเป็นเอกสารปลอมนั้น เป็นคำให้การต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับผู้ทรงคนก่อน ๆ โดยจำเลยมิได้อ้างว่าโจทก์กับผู้ทรงคนก่อนสมคบกันฉ้อฉลจำเลยแต่ประการใด ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 916 ไม่จำเป็นต้องสืบพยานโจทก์จำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานเนื่องจากจำเลยประวิงคดีและไม่แสดงเหตุผลอันสมควรในการขอเลื่อน
จำเลยยื่นคำร้องในวันนัดสืบพยานจำเลย ขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยโดยอ้างว่าพยานจำเลยป่วย ศาลชั้นต้นสั่งที่คำร้องว่าสำเนาให้โจทก์ สั่งในรายงานกระบวนพิจารณา แล้วสั่งในรายงานกระบวนพิจารณามีใจความสำคัญว่า โจทก์คัดค้านและขอให้ตัดพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีจึงให้ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและให้งดสืบพยานจำเลย คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เข้าใจได้ว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยแล้วโดยสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยตามที่จำเลยขอเพราะคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยนั้นมีความหมายในตัวว่าไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลย จำเลยมีเจตนาประวิงคดี ศาลชั้นต้นก็ได้ให้โอกาสจำเลยมากมายเป็นพิเศษในการนำพยานมาสืบแล้ว ไม่มีความจำเป็นและไม่มีกฎหมายบังคับว่าศาลจะต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าพยานจำเลยป่วยจริงหรือไม่ ทั้งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยในนัดสุดท้ายก็มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรม ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีและการงดสืบพยาน: ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตเลื่อนคดีเมื่อจำเลยมีเจตนาประวิง
จำเลยยื่นคำร้องในวันนัดสืบพยานจำเลย ขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยโดยอ้างว่าพยานจำเลยป่วย ศาลชั้นต้นสั่งที่คำร้องว่าสำเนาให้โจทก์ สั่งในรายงานฯ แล้วศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณามีใจความสำคัญว่าทนายจำเลยยื่นคำร้องลงวันนี้ว่า ส.ป่วย ขอเลื่อน โจทก์คัดค้าน และขอให้ตัดพยานจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีจึงให้ถือว่าไม่มีพยานมาสืบและให้งดสืบพยานจำเลย คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เข้าใจได้ว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยแล้ว โดยสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลยตามที่จำเลยขอ เพราะคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยนั้นมีความหมายในตัวว่าไม่อนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานจำเลย จำเลยมีเจตนาประวิงคดีศาลชั้นต้นก็ได้ให้โอกาสจำเลยมากมายเป็นพิเศษในการนำพยานมาสืบแล้ว ไม่มีความจำเป็นและไม่มีกฎหมายบังคับว่าศาลจะต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าพยานจำเลยป่วยจริงหรือไม่ทั้งคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยในนัดสุดท้ายก็มิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรม ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 40 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดี: ศาลชอบที่จะไต่สวนคำร้องขอขายที่ดินแยกแปลง หากมีเหตุผลที่อาจชำระหนี้ได้ด้วยการขายแปลงเดียว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 รวมพร้อมกัน 7 แปลง จำเลยที่ 1 ร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขายที่ดินของจำเลยที่ 1 แยกทีละแปลง โดยอ้างว่าเจ้าพนักงานประเมินราคาที่ดินแปลงหนึ่งไว้ในราคาตารางวาละ 2,000 บาท ราคาที่ดินทั้งแปลงมีจำนวนถึง 1,160,000 บาท แต่หนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยมีเพียง 421,000 บาท หากขายที่ดินแปลงดังกล่าวแปลงเดียวก็เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนี้ หากความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ก็มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลอาจพิจารณาอนุญาตให้ขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ทีละแปลงดังที่จำเลยที่ 1 ร้องขอได้ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยที่ 1 เสียก่อนที่จะพิจารณาสั่งคำร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดี: ศาลมีอำนาจสั่งขายที่ดินแยกแปลงได้ หากการขายรวมแปลงทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 รวมพร้อมกัน 7 แปลง จำเลยที่ 1 ร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ขายที่ดินของจำเลยที่ 1 แยกทีละแปลง โดยอ้างว่าเจ้าพนักงานประเมินราคาที่ดินแปลงหนึ่งไว้ในราคาตารางวาละ 2,000 บาท ราคาที่ดินทั้งแปลงมีจำนวนถึง 1,160,000 บาท แต่หนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยมีเพียง 421,000 บาท หากขายที่ดินแปลงดังกล่าวแปลงเดียวก็เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนี้ หากความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ก็มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลอาจพิจารณาอนุญาตให้ขายที่ดินของจำเลยที่ 1 ทีละแปลงดังที่จำเลยที่ 1 ร้องขอได้ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยที่ 1 เสียก่อนที่จะพิจารณาสั่งคำร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดี: ศาลมีอำนาจพิจารณาการขายที่ดินทีละแปลงเพื่อคุ้มครองลูกหนี้หากราคาประเมินเพียงพอชำระหนี้
ในชั้นบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดรวม 7 แปลง จำเลยได้ร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้ขายที่ดินดังกล่าวแยกจากกันทีละแปลง เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งให้จำเลยดำเนินการร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งในเรื่องนี้ จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งดังกล่าวโดยอ้างว่า ราคาที่ดินที่ถูกยึดตามราคาที่เจ้าพนักงานประเมินไว้เพียงแปลงเดียวก็มีมูลค่าเกินกว่าจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยต้องรับผิดแล้ว ดังนี้หากความเป็นจริงเป็นดังที่จำเลยกล่าวอ้างคำร้องดังกล่าวก็มีเหตุผลเพียงพอที่ศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ขายที่ดินของจำเลยทีละแปลงดังที่จำเลยร้องขอได้ เพื่อประโยชน์ความยุติธรรม จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5044/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรงแสดงเจตนาฆ่า พยานหลักฐานสนับสนุนความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้มีดเหน็บปลายแหลม ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้วยาวประมาณ 1 ฟุต และด้ามยาวประมาณ 1 คืบ ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงฟันตรงลงมาที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถ้ากระโหลกศีรษะแตกถึงสมองอาจทำให้ถึงตายได้ ทั้งจำเลยยังใช้มีดแทงผู้เสียหายซ้ำอีก แสดงว่ามีเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ตายจึงมีความผิดฐานพยานยามฆ่า
of 98