คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 976 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันของคำพิพากษาตามยอมต่อผู้เยาว์ที่เป็นคู่ความโดยมีผู้แทนโดยชอบธรรม
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยที่ 3 เป็นผู้เยาว์แต่ก็เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้วโดยมีผู้แทนโดยชอบธรรม คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3778/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความมิใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์ไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างเหตุขยายอายุความในคำฟ้อง ศาลวินิจฉัยตามข้อกฎหมายได้
อายุความมิใข่สภาพแห่งข้อหา โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด
จำเลยซื้อแหวนไปจาก ส. และค้างชำระราคา ส. ถึงแก่กรรมระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้ดังกล่าว ทำให้อายุความขยายออกไปเป็น 1 ปี นับแต่วันที่ ส. ถึงแก่กรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 186 เมื่ออายุความก็เป็นข้อต่อสู้ของจำเลย และโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ฟ้องจำเลยโดยได้บรรยายฟ้องกับนำสืบให้เห็นได้ว่า ส. ถึงแก่กรรมในระหว่างคดียังไม่ขาดอายุความ ศาลจึงวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 186 ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องกล่าวอ้างบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมาในคำฟ้องหรือการพิจารณาของศาลเพราะเป็นข้อกฎหมายที่ศาลรู้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3778/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความขยายเมื่อผู้ทำหนี้ถึงแก่กรรม ศาลวินิจฉัยได้เอง แม้โจทก์มิได้อ้างในคำฟ้อง
อายุความมิใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด จำเลยซื้อแหวนไปจาก ส.และค้างชำระราคาส. ถึงแก่กรรมระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้ดังกล่าว ทำให้อายุความขยายออกไปเป็น 1 ปี นับแต่วันที่ ส.ถึงแก่กรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 186 เมื่ออายุความก็เป็นข้อต่อสู้ของจำเลยและโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ฟ้องจำเลยโดยได้บรรยายฟ้องกับนำสืบให้เห็นได้ว่าส. ถึงแก่กรรมในระหว่างคดียังไม่ขาดอายุความ ศาลจึงวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 186 ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องกล่าวอ้างบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมาในคำฟ้องหรือการพิจารณาของศาลเพราะเป็นข้อกฎหมายที่ศาลรู้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3704/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธุรกิจจัดหางานผิดกฎหมาย: การจัดหางานค้าประเวณีไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.จัดหางาน
การประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2511 นั้น หมายถึงงานหรือการประกอบธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายทั้งสองได้รับการติดต่อจากจำเลยให้ไปค้าประเวณีที่ต่างประเทศ จึงเป็นงานรับจ้างเขาทำเมถุนกรรมที่ผิดกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3704/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จัดหางานผิดกฎหมาย, ปลอมแปลงเอกสาร, ใช้รอยตราปลอม: ความผิดและขอบเขตความรับผิด
การประกอบธุรกิจหางานให้แก่คนงานตามพระราชบัญญัติจัดหาและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 นั้น หมายถึงงานหรือการประกอบธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายทั้งสองได้รับการติดต่อจากจำเลยให้ไปค้าประเวณีที่ต่างประเทศ จึงเป็นงานรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรมที่ผิดกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภาระจำยอมโดยการใช้สิทธิปรปักษ์ และการไม่ถือว่าเป็นการละเมิดเมื่อกระทำโดยสุจริตก่อนซื้อที่ดิน
แม้ชายคา หน้าต่างหากมีการเปิด และทางระบายน้ำของห้องแถวจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของ ว. จะได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็ตาม เมื่อจำเลยได้กระทำด้วยความสุจริตเพื่อการใช้ชายคา หน้าต่างกับทางระบายน้ำดังกล่าวมาก่อนที่โจทก์จะซื้อที่ดินของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งจำเลยได้ใช้สิทธินั้นด้วยอำนาจปรปักษ์มาเป็นเวลาเกิน 10 ปี จึงได้สิทธิภาระจำยอมเกี่ยวกับชายคา หน้าต่างกับทางระบายน้ำนั้นในที่ดินโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3663/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินชดเชยและเงินกินเปล่าจากการจัดสรรที่ดินถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินและได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา ๔๒ (๙)
โจทก์ทำสัญญาร่วมพัฒนาที่ดินเพื่อแบ่งขายกับบริษัท ท. และบริษัท บ. โดยมีข้อตกลงว่าให้บริษัททั้งสองเป็นผู้ลงทุนแบ่งที่ดินของโจทก์เป็นแปลงย่อย ตัดถนนสร้างสิ่งสาธารณูปโภค ปลูกสร้างบ้านและขายที่ดินของโจทก์ โดยบริษัททั้งสองจะขายที่ดินของโจทก์ได้ในราคาตามที่เห็นสมควร แต่ต้องชำระราคาที่ดินให้โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนที่ดินที่ใช้ในการตัดถนนและสร้างสิ่งสาธารณูปโภคซึ่งไม่อาจขายให้แก่ผู้ใดบริษัททั้งสองตกลงชดเชยราคาแห่งที่ดินที่เสียไปให้ อีกทั้งได้จ่ายเงินกินเปล่าให้โจทก์อีกจำนวนหนึ่งตอยแทนการที่โจทก์มอบสิทธิในการจัดสรรที่ดินให้ ดังนี้ การจัดสรรที่ดินจำเป็นต้องสร้างถนนและสิ่งสาธารณูปโภค และเมื่อได้กระทำแล้วทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้นและมูลค่าดังกล่าวตกอยู่แก่ที่ดินที่เหลือ เมื่อโจทก์ไม่ได้ขายที่ดินเอง จึงรวมมูลค่าที่ดินที่เสียไปดังกล่าวเข้าไปในราคาที่ดินที่เหลือไม่ได้ ดังนั้น เงินค่าชดเชยราคาที่ดินที่เสียไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดิน และตามข้อสัญญายินยอมให้บริษัท ท.และบริษัท บ. ขายที่ดินที่พัฒนาแล้วราคาเท่าใดก็ได้ เพียงแต่ต้องชำระที่ดินให้โจทก์ตามราคาที่ตกลงกันไว้ และเมื่อมีการเลิกสัญญากับบริษัททั้งสองมีสิทธิขอซื้อที่ดินที่ยังไม่มีผู้ซื้อตามราคาดังกล่าว ดังนั้นการที่บริษัททั้งสองให้เงินกินเปล่าแก่โจทก์ก็เป็นเพราะเหตุที่โจทก์ตกลงรับเงินค่าที่ดินในราคาที่ตกลงกันไว้ เงินกินเปล่าจึงเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินของโจทก์ เงินทั้งสองรายการดังกล่าวโจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (9) แห่งประมวลรัษฎากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3663/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความทางภาษี: เงินชดเชยที่ดินและเงินกินเปล่าจากการจัดสรรที่ดินถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาขายที่ดินและได้รับการยกเว้นภาษี
โจทก์ทำสัญญาร่วมพัฒนาที่ดินเพื่อแบ่งขายกับบริษัท ท.และบริษัท บ. โดยมีข้อตกลงว่าให้บริษัททั้งสองเป็นผู้ลงทุนแบ่งที่ดินของโจทก์เป็นแปลงย่อย ตัดถนนสร้างสิ่งสาธารณูปโภค ปลูกสร้างบ้านและขายที่ดินของโจทก์ โดยบริษัททั้งสองจะขายที่ดินของโจทก์ได้ในราคาตามที่เห็นสมควร แต่ต้องชำระราคาที่ดินให้โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนที่ดินที่ใช้ในการตัดถนนและสร้างสิ่งสาธารณูปโภคซึ่งไม่อาจขายให้แก่ผู้ใดบริษัททั้งสองตกลงชดเชยราคาแห่งที่ดินที่เสียไปให้ อีกทั้งได้จ่ายเงินกินเปล่าให้โจทก์อีกจำนวนหนึ่งตอบแทนการที่โจทก์มอบสิทธิในการจัดสรรที่ดินให้ ดังนี้ การจัดสรรที่ดินจำเป็นต้องสร้างถนนและสิ่งสาธารณูปโภคและเมื่อได้กระทำแล้วทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้นและมูลค่าดังกล่าวตกอยู่แก่ที่ดินที่เหลือ เมื่อโจทก์ไม่ได้ขายที่ดินเอง จึงรวมมูลค่าที่ดินที่เสียไปดังกล่าวเข้าไปในราคาที่ดินที่เหลือไม่ได้ ดังนั้นเงินค่าชดเชยราคาที่ดินที่เสียไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินและตามข้อสัญญาโจทก์ยินยอมให้บริษัท ท. และบริษัท บ.ขายที่ดินที่พัฒนาแล้วราคาเท่าใดก็ได้ เพียงแต่ต้องชำระที่ดินให้โจทก์ตามราคาที่ตกลงกันไว้ และเมื่อมีการเลิกสัญญากันบริษัททั้งสองมีสิทธิขอซื้อที่ดินที่ยังไม่มีผู้ซื้อตามราคาดังกล่าวดังนั้นการที่บริษัททั้งสองให้เงินกินเปล่าแก่โจทก์ก็เป็นเพราะเหตุที่โจทก์ตกลงรับเงินค่าที่ดินในราคาที่ตกลงกันไว้ เงินกินเปล่าจึงเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินของโจทก์ เงินทั้งสองรายการดังกล่าวจึงได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 42(9) แห่งประมวลรัษฎากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3654/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์มรดกเพื่อข้อยกเว้นภาษี หากไม่สามารถนำสืบได้ ถือเป็นเงินได้ต้องเสียภาษี
บิดาของโจทก์เช่าตึกแถวจากผู้ให้เช่า ต่อมาโจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าต่อจากบิดาซึ่งถึงแก่กรรม แล้วโจทก์โอนสิทธิการเช่านี้ให้แก่ธนาคารโดยได้เงินตอบแทน 2,000,000 บาท ในประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า สิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทนี้เป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์เมื่อโจทก์มิได้ระบุพยานภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ระบุพยานได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ตามข้ออ้างที่ว่าสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทเป็นทรัพย์มรดก เช่นนี้ การโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทของโจทก์จึงฟังมิได้ว่าเป็นการโอนทรัพย์สินที่ได้มาโดยทางมรดกและมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ดังนั้น โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินค่าตอบแทนจำนวน 2,000,000 บาท มาคำนวณภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3654/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเช่าเป็นทรัพย์มรดกเพื่อยกเว้นภาษี: ภาระการพิสูจน์และการยื่นพยานหลักฐาน
บิดาของโจทก์เช่าตึกแถวจากผู้ให้เช่า ต่อมาโจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าต่อบิดาซึ่งถึงแก่กรรม แล้วโจทก์โอนสิทธิการเช่านี้ให้แก่ธนาคารโดยได้เงินตอบแทน 2,000,00 บาท ในประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า สิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทนี้เป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์มิได้ระบุพยานภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ระบุพยานได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ตามข้ออ้างที่ว่าสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทเป็นทรัพย์มรดก เช่นนี้การโอนสิทธิเช่าตึกแถวพิพาาทของโจทก์จึงฟังมิได้ว่าเป็นการโอนทรัพย์สินที่ได้มาโดยทางมรดกและมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ดังนั้น โจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินค่าตอบแทนจำนวน 2,000,000 บาท มาคำนวณภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (9) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
of 98