คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปิ่นทิพย์ สุจริตกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 976 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ จึงไม่อาจนำมาจำนำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ทรัพย์สินที่จำนำได้นั้นต้องเป็นสังหาริมทรัพย์ แต่สิทธิการเช่าอาคารไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 101 จึงไม่อาจจำนำกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ จึงไม่อาจนำมาจำนำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ทรัพย์สินที่จำนำได้นั้นต้องเป็นสังหาริมทรัพย์ แต่สิทธิการเช่าอาคารไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 101 จึงไม่อาจจำนำกันได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อจำเลยไม่ทราบการถูกฟ้อง และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า จำเลยย้ายจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นก่อนฟ้อง 3 ปีเศษแล้ว ซึ่งโจทก์อาจสืบทราบภูมิลำเนาใหม่ของจำเลยได้โดยง่าย แต่โจทก์ได้ขอให้ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์และส่งคำบังคับโดยปิดประกาศหน้าศาลจึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องและศาลออกคำบังคับโดยมีผู้แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยไปตรวจดูสำนวนที่ศาล ถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้สิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้สิ้นสุดลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีใหม่เมื่อจำเลยไม่ทราบเรื่องฟ้องคดีโดยความผิดของโจทก์ และเหตุสุดวิสัยในการยื่นคำขอ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า จำเลยย้ายจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นก่อนฟ้อง 3 ปีเศษแล้ว ซึ่งโจทก์อาจสืบทราบภูมิลำเนาใหม่ของจำเลยได้โดยง่าย แต่โจทก์ได้ขอให้ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์และส่งคำบังคับโดยปิดประกาศหน้าศาลจึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องและศาลออกคำบังคับโดยมีผู้แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยไปตรวจดูสำนวนที่ศาล ถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้สิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้สิ้นสุดลง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบำเหน็จตกทอดของบุตรที่ศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้คำพิพากษาเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของบิดา
มาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่14) พ.ศ. 2526ต้องตีความว่า บุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก่อนวันที่ พ.ร.บ. ฉบับนี้ใช้บังคับ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องและฟ้องเรียกบำเหน็จตกทอดในฐานะทายาทผู้มีสิทธิเมื่อ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับแล้ว โดยที่ก่อนที่ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับหามีสิทธิเช่นนั้นไม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์เรียกร้องบำเหน็จตกทอดจากจำเลยและขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่14) พ.ศ. 2526ใช้บังคับ และเด็กชาย ธ. บุตรผู้ตายเป็นทายาทผู้มีสิทธิตามมาตรา 4 แล้ว เด็กชาย ธ. จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดกรณีนี้หาใช่เป็นกรณีที่กฎหมายมีผลใช้บังคับย้อนหลังไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รายจ่ายค่าจ้างทำของต้องมีผู้รับจริงจึงหักลดหย่อนได้ ค่ารับรองสมเหตุสมผลหักลดหย่อนได้
รายจ่ายค่าจ้างทำของที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จ่ายพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(18) ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เงินค่ารับรองที่โจทก์จ่ายไปในรอบระยะเวลาบัญชี พ.ศ. 2514,2515 และโจทก์นำสืบให้เห็นได้ว่าได้จ่ายไปจริงโดยมีหลักฐานการจ่ายมาแสดง มีการลงบัญชี และเป็นค่าใช้จ่ายที่พอสมควรจำเลยมิได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้จ่ายไปจริง เพียงแต่กล่าวอ้างว่าค่ารับรองที่โจทก์จ่ายไปนั้นเป็นจำนวนสูงเกินสมควร รายจ่ายดังกล่าวจึงมิใช่รายจ่ายที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี มิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ โจทก์มีสิทธินำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2514 ถึง 2515 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักค่าใช้จ่ายทางภาษี: ค่าจ้างทำของต้องมีหลักฐานผู้รับ, ค่ารับรองสมเหตุสมผลกับรายได้
รายจ่ายค่าจ้างทำของที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จ่ายพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (18) ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
เงินค่ารับรองที่โจทก์จ่ายไปในรอบระยะเวลาบัญชี พ.ศ. 2514,2515 และโจทก์นำสืบให้เห็นได้ว่าได้จ่ายไปจริงโดยมีหลักฐานการจ่ายมาแสดงและมีการลงบัญชี ซึ่งนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่พอสมควร จำเลยมิได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้จ่ายไปจริง เพียงแต่กล่าวอ้างว่าค่ารับรองที่โจทก์จ่ายไปนั้นเป็นจำนวนสูงเกินสมควร รายจ่ายดังกล่าวจึงมิใช่รายจ่ายที่ประมวลรัษฎากร มาตรา65 ตรี มิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ โจทก์มีสิทธินำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ในรอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2514 ถึง 2515 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิริบมัดจำและการไม่เป็นละเมิดจากการแจ้งการใช้สิทธิ แม้เป็นการขู่เข็ญ
การที่โจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยโดยมิได้หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรเพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์นำไปชำระมิฉะนั้นจะริบมัดจำตามสัญญา การที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญาแม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะทำได้ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์ต้องชำระภาษีเงินได้ต่อพนักงานที่ดินเมื่อทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปก่อน แล้วมาขอรับค่าภาษีเงินได้ดังกล่าวคืนจากจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2441/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความประสงค์ริบมัดจำตามสัญญา ไม่เป็นละเมิด และไม่ต้องชดใช้ดอกเบี้ย
โจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่จำเลยโดยมิได้หักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรเพราะจำเลยแจ้งให้โจทก์นำไปชำระมิฉะนั้นจะริบมัดจำตามสัญญา การที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญา แม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่จะทำได้ ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่โจทก์ต้องชำระภาษีเงินได้ต่อพนักงานที่ดินเมื่อทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปก่อน แล้วมาขอรับค่าภาษีเงินได้ดังกล่าวคืนจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2440/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินในการนำพยานหลักฐานมาแสดง ทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัย
โจทก์ผู้อุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่นำพยานซึ่งมีความหมายถึงพยานหลักฐานอันควรแก่เรื่องมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินตามคำสั่ง ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตรา 32 แห่งประมวลรัษฎากรโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามมาตรา 30(2),33 แห่งประมวลรัษฎากร
of 98