พบผลลัพธ์ทั้งหมด 440 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินเช่านาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 จำเลยไม่ต้องรอคำสั่งคณะกรรมการ หากปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย
โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อทำนา ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แจ้งเป็นหนังสือต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทในราคา 160,000 บาทถ้าโจทก์จะซื้อให้ตอบภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะขายให้บุคคลอื่น โจทก์ไม่ได้ติดต่อขอซื้อจากจำเลยที่ 1ดังนั้น เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะใช้สิทธิซื้อที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2และจดทะเบียนการขายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงเป็นการปฏิบัติตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นแล้ว
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มิได้ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมการเช่านาตำบลที่จะยับยั้งผู้ให้เช่านาไม่ให้ขายที่นาที่ให้เช่าได้แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีมติยับยั้งไม่ให้ผู้ให้เช่าขายที่ดิน ผู้ให้เช่าก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม.
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มิได้ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมการเช่านาตำบลที่จะยับยั้งผู้ให้เช่านาไม่ให้ขายที่นาที่ให้เช่าได้แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีมติยับยั้งไม่ให้ผู้ให้เช่าขายที่ดิน ผู้ให้เช่าก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินเช่านาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา: การปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและการไม่มีอำนาจยับยั้งของคณะกรรมการ
โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อทำนา ต่อมาจำเลยที่ 1ได้แจ้งเป็นหนังสือต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทในราคา160,000 บาท ถ้าโจทก์จะซื้อให้ตอบภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะขายให้บุคคลอื่น โจทก์ไม่ได้ติดต่อขอซื้อจากจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะใช้สิทธิซื้อที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และจดทะเบียนการขายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงเป็นการปฏิบัติตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นแล้วพระราชบัญญัติ ญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มิได้ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมการเช่านาตำบลที่จะยับยั้งผู้ให้เช่านาไม่ให้ขายที่นาที่ให้เช่าได้ แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีมติยับยั้งไม่ให้ผู้ให้เช่าขายที่ดิน ผู้ให้เช่าก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2616/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การไต่สวนที่ไม่ชอบและขอบเขตการละเมิด
คดีละเมิดอำนาจศาล ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนโดยไม่ชอบ เนื่องจากไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหาถามค้านพยานที่ศาลหมายเรียกมาไต่สวน และไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหานำพยานของตนเข้าสืบ การที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาลดังนี้ มิใช่เป็นฎีกาที่คัดค้านข้อชี้ขาดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน: ผู้ให้เช่าฟ้องได้โดยตรงหากผู้เช่าไม่คัดค้านต่อ คชก. และ คชก. ไม่มีอำนาจพิจารณา
การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน: ผู้ให้เช่ามีอำนาจฟ้องโดยตรงหากผู้เช่าไม่คัดค้านต่อ คชก. และ คชก. ไม่มีอำนาจวินิจฉัย
การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดิน: ผู้เช่าไม่คัดค้าน คชก.ไม่มีอำนาจพิจารณา ผู้ให้เช่าฟ้องศาลได้โดยตรง
การเลิกสัญญาเช่าที่ดินตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นั้น เมื่อผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อผู้เช่า กับส่งสำเนาหนังสือนั้นต่อประธาน คชก. ตำบล และประธาน คชก. ตำบล ได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบถึงการบอกเลิกการเช่าดังกล่าวแล้ว แต่ผู้เช่าไม่คัดค้านการบอกเลิกการเช่านั้นต่อ คชก. ตำบล คชก. ตำบลก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณาวินิจฉัยการบอกเลิกการเช่า กรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องผู้เช่าต่อศาลได้โดยตรง ไม่ถือว่าปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของเจ้าของรถแท็กซี่ที่ยินยอมให้ผู้อื่นเช่าขับและรับประโยชน์จากการเช่า
ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่ 2ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์ บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตรา บริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถ และจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมรับผิดในความเสียหายจากการเดินรถแท็กซี่ แม้มิได้เป็นลูกจ้าง หากยอมให้ใช้ชื่อและได้รับประโยชน์
ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตราบริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถ และจำเลยที่ 2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2452/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของเจ้าของรถแท็กซี่ที่ยินยอมให้ผู้อื่นนำรถไปวิ่งรับจ้าง และการเชิดตัวแทน
ผู้มีชื่อนำรถแท็กซี่มาจดทะเบียนเป็นชื่อของบริษัทจำเลยที่2 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ประกอบการเดินรถยนต์บรรทุกคนโดยสาร แล้วจำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกวิ่งรับคนโดยสารโดยมีตราบริษัทจำเลยที่ 2 ติดอยู่ข้างรถ และจำเลยที่2 ได้รับผลประโยชน์จากการนี้ด้วย ดังนี้ เท่ากับจำเลยที่ 2 เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการรับจ้างบรรทุกคนโดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2397/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารสิทธิปลอมกู้เงินหลายครั้ง และบทบาทของผู้ร่วมกระทำผิด
จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์ร่วมโดยทำหนังสือสัญญากู้กันไว้และจำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมมอบให้โจทก์ร่วมยึดถือเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินโจทก์ร่วมเพิ่มขึ้นโดยระบุให้เอาโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ร่วมยึดถือเป็นประกันในการกู้เงินครั้งแรกเป็นประกันการกู้ครั้งที่สองด้วย เช่นนี้ การกู้เงินของจำเลยที่ 1 ในครั้งที่สองเป็นการใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอีกและคราวกับการใช้ครั้งแรก เพราะการที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เงินเพิ่มก็เพราะเชื่อถือในเอกสารฉบับดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด 2 กระทง กล่าวคือ ครั้งแรกจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมด้วยมีความผิดตามมาตรา 266 (1) และมาตรา 268 วรรค 2 แต่ในการใช้ครั้งที่สองจำเลยที่ 1 มิได้ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นอีก คงใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 268 วรรคแรก