คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สัมฤทธิ์ ไชยศิริ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 440 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วางเพลิงโรงน้ำชาที่มีคนอยู่อาศัย: ความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือน
การที่จำเลยจุดไฟเผาที่นอนในห้องของโรงน้ำชาเพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำชานั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อที่นอนถูกเผาไหม้แล้วไฟอาจจะลุกลามไหม้เตียงนอน ฝาผนัง เพดานจนกระทั่งโรงน้ำชาแห่งนั้นทั้งหมดได้เมื่อได้ความว่าโรงน้ำชานั้นมีคนอยู่อาศัยด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย: การเล็งเห็นผลลุกลามเป็นเหตุแห่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218
การที่จำเลยจุดไฟเผาที่นอนในห้องของโรงน้ำชาเพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำชานั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อที่นอนถูกเผาไหม้แล้วไฟอาจจะลุกลามไหม้เตียงนอน ฝาผนัง เพดาน จนกระทั่งโรงน้ำชาแห่งนั้นทั้งหมดได้เมื่อได้ความว่าโรงน้ำชานั้นมีคนอยู่อาศัยด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วางเพลิงโรงเรือนที่มีคนอยู่อาศัย แม้ไม่มีเจตนาโดยตรง ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเล็งเห็นผลได้
การที่จำเลยจุดไฟเผาที่นอนในห้องของโรงน้ำชาเพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำชานั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อที่นอนถูกเผาไหม้แล้วไฟอาจจะลุกลามไหม้เตียงนอน ฝาผนัง เพดาน จนกระทั่งโรงน้ำชาแห่งนั้นทั้งหมดได้ เมื่อได้ความว่าโรงน้ำชานั้นมีคนอยู่อาศัยด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่าจำเลยพยายามฆ่า ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่า แม้จำเลยจะฎีกาเรื่องโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดข้อหาพยายามฆ่าด้วย จำเลยฎีกาเพียงว่าศาลอุทธรณ์กำหนดโทษรุนแรงเกินไป ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาพยายามฆ่าแล้ว ก็มีอำนาจยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225 ส่วนข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น ปรากฏว่า โจทก์จำเลยต่างไม่อุทธรณ์จึงเป็นยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยในความผิดดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความรุนแรงข่มขู่เพื่อกลั่นแกล้ง ไม่ถือเป็นความผิดชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหายเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไปจำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไปที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ: การกระทำด้วยความคึกคะนองและมึนเมาสุรา ไม่ถือเป็นเจตนาลักทรัพย์
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไป จำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไป ที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อหวังข่มขืน ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพและลักทรัพย์
จำเลยให้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญผู้เสียหายโดยจับมือและบีบคอขู่ไม่ให้ร้องเพื่อความสะดวกแก่การที่จะกระทำผิดในทางเพศ มิได้ประสงค์ต่อทรัพย์เมื่อผู้เสียหายหลบหนีจำเลยจึงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลัง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก และฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท กระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์คงเป็นความผิดต่อเสรีภาพ และความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, และร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์, พาไปเพื่อการอนาจาร, ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมโดยการพาผู้เสียหายไปหาผู้กระทำผิด
การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษ ไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรกตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย: แก้ไขโทษกรรมเดียว แต่ยังไม่เกิน 5 ปี – ห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 279 ให้จำคุก 4 ปี และตามมาตรา 317 ให้จำคุก 5 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 9 ปีลดโทษตามมาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 317 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218.
of 44