พบผลลัพธ์ทั้งหมด 345 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสร้างส้วมและขุดหลุมพักอุจจาระหรือน้ำโสโครกประชิดติดกับแนวเขตที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รื้อรั้วคอนกรีตและห้ามมิให้โจทก์ทำให้น้ำจากตึกแถวของโจทก์ไหลเข้าไปในบริเวณบ้าน ของจำเลย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดืม จะรับเป็นฟ้องแย้งไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3673/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นของสมาชิกสหกรณ์ แม้มีข้อบังคับภายใน สิทธิยังผูกพันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
แม้เงินค่าหุ้นของจำเลยทั้งสองจะเป็นเงินทุนของสหกรณ์ ฯ ผู้ร้องและข้อบังคับของสหกรณ์ ฯ ผู้ร้องมีว่า สมาชิกมีสิทธิลาออกได้ไม่ว่าเวลาใดและผู้ร้องจะต้องคืนเงินค่าหุ้นให้สมาชิกไปทันที เว้นแต่สมาชิกนั้นเป็นหนี้ผู้ร้องอยู่ผู้ร้องจะหักเงินค่าหุ้นไว้ก่อน เหลือเท่าใดก็คืนให้สมาชิกไปก็ตาม เมื่อจำเลยทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องเอาเงินค่าหุ้นคืนได้และข้อบังคับดังกล่าวมิใช่กฎหมายแต่เป็นเรื่องที่สหกรณ์ผู้ร้องจัดวางระเบียบบริหารงานภายในระหว่างสมาชิกตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 มาตรา 4 ข้อบังคับดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสอง โจทก์ขอให้ศาลอายัดเงินค่าหุ้นของจำเลยทั้งสองที่มีอยู่ในสหกรณ์ ฯ ผู้ร้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3673/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นของสมาชิกสหกรณ์ แม้มีข้อบังคับภายใน ไม่ผูกพันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
แม้สหกรณ์ออมทรัพย์ผู้ร้องจะได้ออกระเบียบข้อบังคับว่าเงินค่าหุ้นที่จำเลยทั้งสองส่งชำระเป็นทุนไว้ว่าจำเลยจะเรียกคืนได้ต่อเมื่อลาออกจากสมาชิกหรือมีการเลิกสหกรณ์ฯ แต่ข้อบังคับดังกล่าว ก็เป็นเพียงระเบียบภายใน มิใช่กฎหมาย ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินค่าหุ้นที่จำเลยมีอยู่ในสหกรณ์ฯ ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3673/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าหุ้นของสมาชิกสหกรณ์ แม้มีข้อบังคับจำกัดสิทธิ ก็ไม่ผูกพันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
แม้เงินค่าหุ้นของจำเลยทั้งสองจะเป็นเงินทุนของสหกรณ์ ฯผู้ร้องและข้อบังคับของสหกรณ์ ฯ ผู้ร้องมีว่า สมาชิกมีสิทธิลาออกได้ไม่ว่าเวลาใดและผู้ร้องจะต้องคืนเงินค่าหุ้นให้สมาชิกไปทันที เว้นแต่สมาชิกนั้นเป็นหนี้ผู้ร้องอยู่ผู้ร้องจะหักเงินค่าหุ้นไว้ก่อน เหลือเท่าใดก็คืนให้สมาชิกไปก็ตาม เมื่อจำเลยทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องเอาเงินค่าหุ้นคืนได้และข้อบังคับดังกล่าวมิใช่กฎหมายแต่เป็นเรื่องที่สหกรณ์ผู้ร้องจัดวางระเบียบบริหารงานภายในระหว่างสมาชิกตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 มาตรา 4 ข้อบังคับดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสอง โจทก์ขอให้ศาลอายัดเงินค่าหุ้นของจำเลยทั้งสองที่มีอยู่ในสหกรณ์ ฯ ผู้ร้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตน/บันดาลโทสะ: การทำร้ายเกิดขึ้นต่อเนื่อง-สิทธิป้องกันตนขาดตอน-เจตนาไม่ถึงฆ่า
ผู้ตายถือขวดแตกจะแทงจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 วิ่งหนีผู้ตายไล่ตาม จำเลยที่ 1 คว้าไม้ท่อนจะตีผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีไป จึงถือได้ว่าสิทธิในการป้องกันตนของจำเลยที่ 1 ขาดตอนไปแล้วการที่จำเลยที่ 1 โมโหวิ่งไล่ตามอีก และผู้ตายว่าแน่จริงก็เข้ามาเลย พร้อมทั้งกระโดดเข้าแทงถูกข้อมือซ้ายจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 หันหลังกลับ พฤติการณ์ของผู้ตายเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และการที่จำเลยที่ 1 ตีผู้ตายหลายครั้งก็เพราะที่เกิดเหตุเป็นที่มืดและเปลี่ยว ประกอบกับผู้ตายมีรูปร่างใหญ่กว่า ทั้งปรากฏจากรายงานการตรวจศพท้ายฟ้องว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่งทั้งที่ศีรษะมือซ้าย และข้อศอกซ้าย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ตีในระยะเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสเลือกที่ตี และไม่อาจทราบได้ว่าจะถูกตรงที่ใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายโดยมิได้เจตนาฆ่า แต่ทำรุนแรงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นบทที่หนักกว่า ศาลก็ย่อมลงโทษตามมาตรา 290 อันเป็นบทที่เบากว่าได้
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตนเกินกว่าเหตุ & บันดาลโทสะ: ศาลลดโทษจำเลยที่ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย
ผู้ตายถือขวดแตกจะแทงจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 วิ่งหนีผู้ตายไล่ตาม จำเลยที่ 1 คว้าไม้ท่อนจะตีผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีไป จึงถือได้ว่าสิทธิในการป้องกันตนของจำเลยที่ 1 ขาดตอนไปแล้ว การที่จำเลยที่ 1 โมโหวิ่งไล่ตามอีก และผู้ตายว่าแน่จริงก็เข้ามาเลย พร้อมทั้งกระโดดเข้าแทงถูกข้อมือซ้ายจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 หันหลังกลับ พฤติการณ์ของผู้ตายเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และการที่จำเลยที่ 1 ตีผู้ตายหลายครั้งก็เพราะที่เกิดเหตุเป็นที่มืดและเปลี่ยว ประกอบกับผู้ตายมีรูปร่างใหญ่กว่า ทั้งปรากฏจากรายงานการตรวจศพท้ายฟ้องว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่งทั้งที่ศีรษะมือซ้าย และข้อศอกซ้าย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ตีในระยะเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสเลือกที่ตี และไม่อาจทราบได้ว่าจะถูกตรงที่ใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายโดยมิได้เจตนาฆ่า แต่ทำรุนแรงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นบทที่หนักกว่า ศาลก็ย่อมลงโทษตามมาตรา 290 อันเป็นบทที่เบากว่าได้
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3500/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างจากการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง
ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถจักรยานยนต์ที่บุตรโจทก์ขับขี่เป็นเหตุให้บุตรโจทก์และผู้นั่งซ้อนท้ายถึงแก่ความตายนั้น จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 ให้นำรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติงานที่การไฟฟ้าจังหวัดอ่างทอง ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปช่วยยกเสาไฟฟ้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยจำเลยที่ 2 มิได้สั่ง แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะมิได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 แต่งานดังกล่าวก็เป็นงานของจำเลยที่ 2 โดยตรงประกอบกับจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่ใช้ประจำอยู่ในกรุงเทพมหานครไปใช้ต่างจังหวัด เป็นการมอบให้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแลรถยนต์นั้นจนกว่าจะนำกลับมาส่งมอบยังสถานที่เดิมการที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวในคืนเกิดเหตุจึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3500/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในการปฏิบัติงาน แม้ไม่ได้มีคำสั่งโดยตรง
ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำเลยที่ 2โดยประมาทชนรถจักรยานยนต์ที่บุตรโจทก์ขับขี่เป็นเหตุให้บุตรโจทก์และผู้นั่งซ้อนท้ายถึงแก่ความตายนั้น จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 ให้นำรถยนต์คันเกิดเหตุไปปฏิบัติงานที่การไฟฟ้าจังหวัดอ่างทอง ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปช่วยยกเสาไฟฟ้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยจำเลยที่ 2 มิได้สั่ง แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะมิได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 แต่งานดังกล่าวก็เป็นงานของจำเลยที่ 2 โดยตรงประกอบกับจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่ใช้ประจำอยู่ในกรุงเทพมหานครไปใช้ต่างจังหวัด เป็นการมอบให้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแลรถยนต์นั้นจนกว่าจะนำกลับมาส่งมอบยังสถานที่เดิมการที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวในคืนเกิดเหตุจึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3499/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดความรับผิดในสัญญาประกันภัย: วงเงินต่อครั้งและต่อคน ศาลแก้ไขวงเงินรับผิดชอบของบริษัทประกันภัย
สัญญากรมธรรม์ประกันภัยระบุจำนวนเงินจำกัดความรับผิดในส่วนที่เป็นค่าเสียหายต่อชีวิตร่างกายไว้ในข้อ 2.1 บรรทัดแรกว่า100,000 บาทต่อหนึ่งคน และบรรทัดถัดลงมาว่า 100,000 บาท ต่อหนึ่งครั้ง ดังนี้ หากเกิดอุบัติเหตุที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกหลายคนในครั้งเดียวกันแล้วมิได้หมายความว่า ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อทุกคนในวงเงินคนละไม่เกิน 100,000 บาท แต่หมายความว่า ทุกคนมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัยในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท โดยแบ่งเฉลี่ยกันตามส่วนของความเสียหายที่ได้รับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3499/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดความรับผิดในสัญญาประกันภัย: การแบ่งเฉลี่ยค่าเสียหายเมื่อมีผู้ได้รับความเสียหายหลายราย
สัญญากรมธรรม์ประกันภัยระบุจำนวนเงินจำกัดความรับผิดในส่วนที่เป็นค่าเสียหายต่อชีวิตร่างกายไว้ในข้อ 2.1 บรรทัดแรกว่า 100,000 บาท ต่อหนึ่งคน และบรรทัดถัดลงมาว่า 100,000 บาท ต่อหนึ่งครั้ง ดังนี้ หากเกิดอุบัติเหตุที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดในค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกหลายคนในครั้งเดียวกันแล้วมิได้ หมายความว่า ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อทุกคนในวงเงินคนละไม่เกิน 100,000 บาท แต่หมายความว่า ทุกคนมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัยในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท โดยแบ่งเฉลี่ยกันตามส่วนของความเสียหายที่ได้รับ.