คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อรรถวิทย์ วรรธนวินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 345 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพัน คดีหลังจึงต้องห้าม
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทำกันไว้ในคดีแรกยอมรับกันว่าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ เช่นนี้เท่ากับโจทก์ยอมรับแล้วว่าแนวเขตที่ดินของจำเลยถูกต้องมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ เมื่อคดีแรกได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกโดยกล่าวอ้างว่า โฉนดที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ออกทับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือ ประเด็นในคดีแรกกับประเด็นในคดีหลังจึงเป็นประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4014/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณี หากประเด็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ศาลต้องยกฟ้อง
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทำกันไว้ในคดีแรกยอมรับกันว่าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ เช่นนี้เท่ากับโจทก์ยอมรับแล้วว่าแนวเขตที่ดินของจำเลยถูกต้องมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ เมื่อคดีแรกได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกโดยกล่าวอ้างว่า โฉนดที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ออกทับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือ ประเด็นในคดีแรกกับประเด็นในคดีหลังจึงเป็นประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4005/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคิดค่าปรับ พ.ร.บ.ยาสูบ: ยาสูบเกิน 500 กรัม ต้องปรับทั้งจำนวน ไม่หักออก
พระราชบัญญัติยาสูบ มาตรา 19 วรรคแรก บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมียาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบไว้ในครอบครองเกินกว่า 500 กรัม ซึ่งหมายความว่าถ้าบุคคลใดมียาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบไว้ในความครอบครองจำนวนไม่เกิน 500 กรัม ผู้นั้นย่อมไม่มีความผิดแต่ปรากฏว่าจำเลยมียาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบไว้ในความครอบครองถึง 2,970 กรัมอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา 19 วรรคแรก ดังกล่าวแล้ว จึงไม่มียาสูบที่จำเลยอาจมีไว้ในครอบครองได้โดยไม่เป็นความผิดอีก และในการคิดค่าปรับต้องคิดจากจำนวนยาสูบ 2,970 กรัม มิใช่คิดจากส่วนที่เกิน 500 กรัม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3997/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาเกินคำขอในฟ้อง อาศัยอำนาจแก้ไขข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
กรณีที่ศาลพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง อันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าคู่ความไม่ได้ยกขึ้นฎีกาศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3968/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในอาคารเช่าชั่วคราวและการคำนวณเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร
โจทก์ที่ 1 เช่าที่ดินจาก น. โดยมีข้อสัญญาระบุว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิปลูกสร้างอาคารลงในที่ดิน เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงโจทก์ที่ 1 ต้องรื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างออกไป ดังนั้นการที่โจทก์ที่ 1 ให้ ด. ปลูกตึกแถวลงในที่ดินเพื่อให้คนเช่า โดยให้ ด. ออกเงินค่าก่อสร้างเอง และ ด. มีสิทธิเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่าแต่ผู้เดียว ตึกแถวดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวมิใช่ส่วนควบของที่ดิน กรรมสิทธิ์ในตึกแถวดังกล่าวย่อมตกได้แก่โจทก์ที่ 1 และถือว่าเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์ที่ 1 ได้รับเนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(5) (ก) จึงต้องนำตึกแถวดังกล่าวมาคำนวณมูลค่าถือเป็นเงินได้พึงประเมินในการเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ 1 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3968/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์อาคารเช่าชั่วคราวบนที่ดินเช่า ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร
โจทก์ที่ 1 เช่าที่ดินจาก น. โดยมีข้อสัญญาระบุว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิปลูกสร้างอาคารลงในที่ดิน เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงโจทก์ที่ 1 ต้องรื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างออกไป ดังนั้นการที่โจทก์ที่ 1 ให้ ด. ปลูกตึกแถวลงในที่ดินเพื่อให้คนเช่า โดยให้ ด. ออกเงินค่าก่อสร้างเองและ ด. มีสิทธิเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่าแต่ผู้เดียว ตึกแถวดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวมิใช่ส่วนควบของที่ดิน กรรมสิทธิ์ในตึกแถวดังกล่าวย่อมตกได้แก่โจทก์ที่ 1 และถือว่าเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่โจทก์ที่ 1 ได้รับเนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(5)(ก) จึงต้องนำตึกแถวดังกล่าวมาคำนวณมูลค่าถือเป็นเงินได้พึงประเมินในการเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ 1ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3900/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดิน: สิทธิการคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดีเมื่อไม่ได้ฟ้องแย้ง
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอแสดงกรรมสิทธิ์หรือเรียกค่าเสียหายมาด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยจะร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์เอาผลประโยชน์ที่ได้รับมาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหาได้ไม่เพราะผลทางคดีถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะศาลก็จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปเท่านั้น ไม่มีผลบังคับไปถึงผลประโยชน์ของที่ดินตามที่จำเลยขอคุ้มครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน: สิทธิของโจทก์ผู้ได้รับอนุญาตใช้ที่ดิน และการยกอายุความต่อสู้กับแผ่นดิน
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างสิทธิของโจทก์ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็ม ชายทะเลฝั่งใต้ โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้ใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ของกรมพลาธิการทหารบก จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองดังกล่าว ต่อมากรมพลาธิการทหารบกมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยไม่ยอมออกไปภายในกำหนดขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลย แม้จะไม่ระบุว่าที่ดินที่เช่ามีเขตติดต่ออะไร กำหนดเวลาเช่านานเท่าใด และไม่แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาท้ายฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งแจ้งชัดอยู่แล้วเป็นฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินพิพาทแม้จะไม่มีโฉนด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็ม ชายทะเล จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 เมื่อโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทจากกรมชลประทานฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ถือได้ว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1306

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: ฟ้องไม่เคลือบคลุมและอายุความไม่ตัดสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างสิทธิของโจทก์ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็มชายทะเลฝั่งทิศใต้ โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้ใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ขอกรมพลาธิการทหารบก จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองดังกล่าว ต่อมากรมพลาธิการทหารบกมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยไม่ยอมออกไปภายในกำหนดขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลย แม้จะไม่ระบุว่าที่ดินที่เช่ามีเขตติดต่ออะไร กำหนดเวลาเช่านานเท่าใด และไม่แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาท้ายฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งแจ้งชัดอยู่แล้วเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ที่ดินพิพาทแม้จะไม่มีโฉนด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของกรมชลประทานเขตคันกั้นน้ำเค็ม ชายทะเล จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 เมื่อโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทจากกรมชลประทานฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทการที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นถือได้ว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ฟ้องเกิน 1 ปี ก็ไม่ขาดอายุความ
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างสิทธิของโจทก์ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็ม ชายทะเลฝั่งทิศใต้ โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้ใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ขอกรมพลาธิการทหารบก จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองดังกล่าว ต่อมากรมพลาธิการทหารบกมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยไม่ยอมออกไปภายในกำหนดขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลย แม้จะไม่ระบุว่าที่ดินที่เช่ามีเขตติดต่ออะไร กำหนดเวลาเช่านานเท่าใด และไม่แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาท้ายฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งแจ้งชัดอยู่แล้วเป็นฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินพิพาทแม้จะไม่มีโฉนด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของกรมชลประทานเขตคันกั้นน้ำเค็ม ชายทะเล จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 เมื่อโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทจากกรมชลประทานฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทการที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นถือได้ว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306.
of 35