คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ในคดีแพ่ง: คำพยานไม่น่าเชื่อถือแม้ฝ่ายเดียว
การชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งนั้น หาใช่หมายถึง จะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไปไม่ ถ้า ปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อนแต่ คำพยานไม่น่าเชื่อถือ นำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้อง แพ้คดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ในคดีแพ่ง: คำพยานไม่น่าเชื่อถือแม้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีพยานนำสืบ
การชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งนั้น หาใช่หมายถึงจะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไปไม่ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อน แต่คำพยานไม่น่าเชื่อถือ นำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้องแพ้คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชั่งน้ำหนักพยานในคดีแพ่ง: ภาระการพิสูจน์และความน่าเชื่อถือของพยาน
การชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งนั้น หาใช่หมายถึง จะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไปไม่ ถ้า ปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อนแต่ คำพยานไม่น่าเชื่อถือ นำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้อง แพ้คดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ในคดีแพ่ง: คำพยานไม่น่าเชื่อถือแม้ไม่มีพยานฝ่ายตรงข้ามก็แพ้คดี
การชั่งคำพยานในคดีแพ่งนั้น หาใช่หมายถึงจะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไปไม่ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อน แต่คำพยานไม่น่าเชื่อถือ นำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้องแพ้คดี.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการขาดเจตนาในความผิดฐานบุกรุก กรณีผู้ครอบครองเข้าใจโดยสุจริตว่ามีสิทธิ
โจทก์ร่วมได้ไปศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มิได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าปลูกบ้านและทำกินในที่พิพาทกับนาย ส. บิดาโจทก์ร่วมมาช้านานเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าใจโดยสุจริตว่ามีสิทธิที่จะอยู่และทำกินในที่พิพาทต่อไปได้จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา เมื่อศาลฎีกาพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมได้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ออกจากที่พิพาทแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 เพิกเฉยเสียไม่ยอมออกจากที่พิพาท ก็อาจเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อยู่ในที่พิพาทโดยละเมิดต่อโจทก์ร่วม หาใช่เป็นความผิดฐานบุกรุกดังทีโจทก์กล่าวฟ้องไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการบุกรุก - การครอบครองโดยสุจริต - การละเมิด
โจทก์ร่วมได้ไปศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มิได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าปลูกบ้านและทำกินในที่พิพาทกับบิดาโจทก์ร่วมมาช้านาน เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เข้าใจโดยสุจริตว่ามีสิทธิที่จะอยู่และทำกินในที่พิพาทต่อไปได้ จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา เมื่อศาลฎีกาพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมได้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ออกจากที่พิพาทแล้วแต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เพิกเฉยเสียไม่ยอมออกจากที่พิพาทก็อาจเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อยู่ในที่พิพาทโดยละเมิดต่อโจทก์ร่วม หาใช่เป็นความผิดฐานบุกรุกไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ: การทำร้ายจากกลุ่มคนและการใช้ปืนป้องกันตัว
การที่ผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีจำนวนมาก เข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยซึ่งมีแต่ตัวคนเดียวและเป็นเวลากลางคืน จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงแล้วแต่เมื่อผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกไม่มีอาวุธ ทั้งไม่ปรากฏว่าเมื่อจำเลยดิ้นหลุดออกจากกลุ่มผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกแล้วผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกจะเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก การที่จำเลยใช้ปืนยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกเพื่อป้องกันตนจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุก็ไม่ต้องวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่อีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าเพื่อลักทรัพย์: ความผิดฐานพยายามฆ่าและลักทรัพย์
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 อีกบทหนึ่ง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า เพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6),80 มิใช่มาตรา 289(7) ซึ่งเป็นการฆ่าเพราะได้กระทำความผิดอื่นมาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์พร้อมทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ความผิดฐานพยายามฆ่า และลักทรัพย์
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 อีกบทหนึ่ง
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส และตกลงจากรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่มา จากนั้นจำเลยได้ลักเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป การที่จำเลยยิงผู้เสียหายก็เพื่อความสะดวกในการที่จำเลยจะลักเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสจากการกระทำดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6),80มิใช่มาตรา 289(7) ซึ่งเป็นการฆ่าเพราะได้กระทำความผิดอื่นมาแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็คหลายกรรม, การลงโทษ, และการเข้ามาในคดีของจำเลย
โจทก์ได้ บรรยายฟ้องแจ้งชัดว่าจำเลยออกเช็ค 2 ฉบับ เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามเช็คแต่ละฉบับ ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ตามป.อ. มาตรา 91 แม้โจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง ก็จะถือว่าศาลลงโทษเกินคำขอหาได้ไม่ ป.วิ.อ. มาตรา 158(6เพียงแต่ บัญญัติให้โจทก์อ้างมาตราในกฎหมายซึ่ง บัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการร่วมกันออกเช็ค อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จำเลยที่ 1 โดย ธ. และ ร. กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันจำเลยที่ 1 ได้ ตั้งทนายความก่อนมีการไต่สวนมูลฟ้อง ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้ามาในคดีนี้แล้วนับตั้งแต่ วันที่ตั้ง ทนายความ เมื่อจำเลยที่ 3ในนามของจำเลยที่ 1 และในฐานะ ส่วนตัวให้การรับสารภาพโดยจำเลยที่ 3 กับทนายจำเลยผู้นั้นลงลายมือชื่อท้ายคำให้การและรายงานกระบวนพิจารณา การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 172.
of 127