คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7863/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาให้ใช้บ้านเป็นหลักประกันและตกลงยกให้หากผิดนัดชำระหนี้เป็นโมฆะ หากไม่ได้กำหนดเวลาชำระ
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินมีใจความว่า ถ้าโจทก์ผู้กู้ไม่นำเงินมาชำระคืนแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้กู้ตามกำหนดผู้กู้ยินยอมยกบ้านให้แก่ผู้ร้อง และสัญญากู้ยืมไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนไว้ ความตกลงดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้กู้ยอมรับเอาทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่ให้กู้ยืมโดยไม่ได้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งทรัพย์สินนั้น ในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบซึ่งขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองความตกลงของโจทก์และผู้ร้องตามสัญญาข้อนี้จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม ดังนั้น แม้โจทก์ยื่นคำแถลงรวมทั้งเบิกความยืนยันว่าขอยกบ้านให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์บ้านจึงยังคงเป็นของโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7863/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาให้ทรัพย์สินแทนเงินกู้: โมฆะหากราคาไม่สมเหตุสมผล
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินมีใจความว่า ถ้าโจทก์ผู้กู้ไม่นำเงินมาชำระคืนแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้กู้ตามกำหนด ผู้กู้ยืนยอมยกบ้านให้แก่ผู้ร้อง และสัญญากู้ยืมไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนไว้ ความตกลงดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้กู้ยอมรับเอาทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่ให้กู้ยืมโดยไม่ได้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งทรัพย์สินนั้น ในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบซึ่งขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง ความตกลงของโจทก์และผู้ร้องตามสัญญาข้อนี้จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม ดังนั้น แม้โจทก์ยื่นคำแถลงรวมทั้งเบิกความยืนยันว่าขอยกบ้านให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ บ้านจึงยังคงเป็นของโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7842/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ด้วยเหตุผลใหม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อ้างเหตุแห่งการวินิจฉัยคดีของแต่ละศาลแตกต่างกัน แต่จำเลยฎีกาอ้างเหตุอย่างเดียวกับ ที่อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7809/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้จากทรัพย์จำนองในคดีล้มละลายของผู้ค้ำประกันสิทธิในการได้รับชำระหนี้บางส่วน
ระหว่างพิจารณาคดีนี้จำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองคดีนี้เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 จำนวน2,528,918.34 บาท กรณีย่อมต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 27, 95 และ 96 โจทก์ซึ่งอ้างว่าได้ฟ้องจำเลยทั้งสามร่วมกับบริษัทจึงย่อมปฏิบัติการขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีดังกล่าวได้ดุจกันโจทก์ไม่มีอำนาจนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปชำระหนี้ในคดีที่โจทก์ประสงค์โดยไม่ได้ปฏิบัติการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์คดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,528,918.34 บาทแล้วก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีนี้แล้วบางส่วนจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 จากการที่จำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ฉะนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 จึงย่อมได้รับประโยชน์ในผลของการชำระหนี้นั้นด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 698

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7809/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีล้มละลาย ผลกระทบต่อผู้ค้ำประกัน
ระหว่างพิจารณาคดีนี้จำเลยที่ 1 ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองคดีนี้เฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1 จำนวน 2,528,918.34 บาทกรณีย่อมต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 27,95 และ 96 โจทก์ซึ่งอ้างว่าได้ฟ้องจำเลยทั้งสามร่วมกับบริษัทจึงย่อมปฏิบัติการขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีดังกล่าวได้ดุลกันโจทก์ไม่มีอำนาจนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปชำระหนี้ในคดีที่โจทก์ประสงค์โดยไม่ได้ปฏิบัติการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์คดีนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 1เป็นเงิน 2,528,918.34 บาท แล้วก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีนี้แล้วบางส่วนจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองในส่วนของจำเลยที่ 1 จากการที่จำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ฉะนั้น จำเลยที่ 2 และ ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1จึงย่อมได้รับประโยชน์ในผลของการชำระหนี้นั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7806/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ต่อสู้คดีด้วยตนเอง หรือมอบหมายทนายความ ความเข้าใจผิดไม่ใช่เหตุขาดนัดพิจารณา
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าใจในการดำเนินคดีของศาล ทั้งเชื่อโดยสุจริตว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริต ได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดินพร้อมทั้งเข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว จึงไม่ต้องทำอะไรอีก ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเพราะจำเลยมีหน้าที่ต้องต่อสู้คดีของจำเลยเอง หากไม่เข้าใจวิธีการต่อสู้คดีหรือไม่สามารถต่อสู้คดีด้วยตนเองได้ ก็ควรต้องมอบหมายให้ทนายความดำเนินการแทน จำเลยจะอ้างเอาความเข้าใจผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้จงใจขาดนัดพิจารณาหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7806/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี: หน้าที่ต่อสู้คดีเอง และความรับผิดชอบในการดำเนินการทางกฎหมาย
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าใจในการดำเนินคดีของศาลทั้งเชื่อโดยสุจริตว่าได้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ณสำนักงานที่ดินพร้อมทั้งเข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้วจึงไม่ต้องทำอะไรอีกก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเพราะจำเลยมีหน้าที่ต้องต่อสู้คดีของจำเลยเองหากไม่เข้าใจวิธีการต่อสู้คดีหรือไม่สามารถต่อสู้คดีด้วยตนเองได้ก็ควรต้องมอบหมายให้ทนายความดำเนินการแทนจำเลยจะอ้างเอาความเข้าใจผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้จงใจขาดนัดพิจารณาหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7776/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นสาระสำคัญ
ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น ตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง และ ป.อ. มาตรา 371 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุ และขอให้ยกฟ้องนั้น เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
จำเลยฎีกาว่า เมื่อทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดแต่เพียงผู้เดียวแตกต่างไปจากคำฟ้องที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำผิดเช่นนี้จะต้องยกฟ้องนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดแล้ว ไม่ว่าจำเลยจะร่วมกระทำผิดกับผู้อื่นหรือกระทำความผิดตามลำพังก็ตาม จำเลยย่อมต้องถูกลงโทษ ดังนั้น ข้อแตกต่างดังกล่าวจำเลยกล่าวอ้างจึงมิใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7776/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองในคดีอาวุธปืนและการลงโทษฐานมีและพาอาวุธปืน แม้คำฟ้องเปลี่ยนไปก็ไม่กระทบการลงโทษ
ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนมาตรา7,8ทวิวรรคหนึ่ง,72วรรคสาม,72ทวิวรรคสองและประมวลกฎหมายอาญามาตรา371ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ3เดือนศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตนเอง พอสมควรแก่เหตุ และขอให้ยกฟ้องนั้นเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยฎีกาว่าเมื่อทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดแต่เพียงผู้เดียวแตกต่างไปจากคำฟ้องที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำผิดเช่นนี้จะต้องยกฟ้องนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดแล้วไม่ว่าจำเลยจะร่วมกระทำผิดกับผู้อื่นหรือกระทำความผิดตามลำพังก็ตามจำเลยย่อมต้องถูกลงโทษดังนั้นข้อแตกต่างดังกล่าวจำเลยกล่าวอ้างจึงมิใช่สาระสำคัญทั้งจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ศาลจึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7587/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในหนี้แทนกัน แม้ไม่ได้กู้เอง แต่ยินยอมทำสัญญาผูกพันหนี้เดิม
ตามข้อความในสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.1 จำเลยได้เขียนชื่อของตนเองว่าจำเลยทำแทน ก. และลงลายมือชื่อของจำเลยในช่องผู้กู้ เช่นนี้เพื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงว่า ก. กับจำเลยเคยเป็นสามีภรรยากัน และเคยร่วมกันค้าขายน้ำมัน เดิม ก.เป็นหนี้เงินกู้โจทก์อยู่ตามสัญญากู้ เอกสารหมาย ล.1ซึ่งจำเลยก็ทราบดีเพราะเป็นคนเขียนสัญญากู้ดังกล่าว เมื่อ ก.หลบหนีไป โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แทน ก. จำเลยก็ยินยอมทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 กับโจทก์โดยนำหนี้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย ล.1 พร้อมดอกเบี้ยค้างชำระมารวมเป็นหนี้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ดังนี้ แม้จำเลยจะมิได้กู้เงินโจทก์ แต่จำเลยเข้าทำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 กับโจทก์โดยมีเจตนาเข้าผูกพันตนยินยอมชำระหนี้แทน ก. ซึ่งเคยเป็นสามีต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ เอกสารหมาย จ.1ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคแรก
of 127