คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญา ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยความผิดตามฟ้อง แม้จำเลยไม่อุทธรณ์ประเด็นนั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย แม้จำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษให้เพียงประการเดียวโดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วพิพากษายืน ปัญหาดังกล่าวจึงจะถึงที่สุดเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาต้องวินิจฉัยประเด็นความผิดตามฟ้อง แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย ถือเป็นการไม่ชอบ
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย แม้จำเลยจะอุทธรณ์เพียงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลดโทษแก่จำเลย โดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3ก็ต้องวินิจฉัยดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสองเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาโดยมิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยประเด็นความผิด หากจำเลยอุทธรณ์ขอลดโทษ แม้ไม่โต้แย้งความผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย แม้จำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษให้เพียงประการเดียวโดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วพิพากษายืน ปัญหาดังกล่าวจึงจะถึงที่สุด เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2682/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้จำเลยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา ศาลพิจารณาตามรูปคดี
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวถึงคำขอบังคับไว้ชัดแจ้งแล้วส่วนศาลจะบังคับให้จำเลยทั้งสามต้องปฏิบัติตามคำขอบังคับของโจทก์หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลตามรูปคดี ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2421/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งทนายความ: ผู้ร้องยินยอมให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยทนายความที่แต่งตั้งโดยชอบ เมื่อไม่โต้แย้งในชั้นต้น จะมาโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์/ฎีกาไม่ได้
ทนายผู้คัดค้านยื่นใบแต่งทนายความลงชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้แต่งทนายพร้อมกับยื่นคำคัดค้านไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องได้คัดค้านว่าผู้คัดค้านไม่ได้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งทนายความโดยชอบและขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนแต่อย่างไร แต่กลับยินยอมให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณามาโดยตลอดจนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี ผู้ร้องจึงยกขึ้นคัดค้านในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีโดยชอบเมื่อจำเลยผิดนัดชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน แม้มีข้อตกลงก่อนหน้านี้
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแก่โจทก์ จนโจทก์ยอมถอนการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ ต่อมาจำเลยและบริษัทช. ผู้อาวัล มิได้ชำระเงินตามกำหนดเวลาที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงิน หนี้ตามคำพิพากษาจึงยังไม่ระงับลง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากหนี้ดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และดอกเบี้ยดังกล่าวย่อมเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่จะต้องชำระในคดีนั้นด้วย มิใช่หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับคดีอีกจึงเป็นการบังคับคดีโดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินและการบังคับคดีเมื่อผิดนัดชำระ หนี้ยังไม่ระงับ ดอกเบี้ยยังคงคิดได้
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแก่โจทก์ จนโจทก์ยอมถอนการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ ต่อมาจำเลยและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ช. ผู้อาวัล มิได้ชำระเงินตามกำหนดเวลาที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงิน หนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยชำระด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจึงยังไม่ระงับลง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากหนี้ดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนและดอกเบี้ยดังกล่าวย่อมเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่จะต้องชำระในคดีนี้ด้วย มิใช่หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับคดีอีก จึงเป็นการบังคับคดีโดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินและการคิดดอกเบี้ยเมื่อผิดนัดชำระ
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแก่โจทก์ จนโจทก์ยอมถอนการยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ ต่อมา จำเลยและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ช.ผู้อาวัล มิได้ชำระเงินตามกำหนดเวลาที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยชำระด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวจึงยังไม่ระงับลง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากหนี้ดังกล่าวต่อไปจนถึงวันที่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และดอกเบี้ยดังกล่าวย่อมเป็นส่วนหนึ่งของหนี้ที่จะต้องชำระในคดีนี้ด้วย มิใช่หนี้ที่เกิดขึ้นใหม่การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับคดีอีก จึงเป็นการบังคับคดีโดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่า: พฤติกรรมสามีไม่ถึงขั้นประพฤติชั่วเป็นเหตุหย่า แม้มีพฤติกรรมหึงหวง ควบคุม และทำร้ายร่างกาย
การที่จำเลยสืบทราบว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหญิงอื่นจึงเสพสุรา สูบบุหรี่ ทะเลาะวิวาท และติดตามควบคุมโจทก์ในวิทยาลัยที่โจทก์ทำงานอยู่นั้น แม้พฤติการณ์ของจำเลยจะก่อให้โจทก์เกิดความเบื่อหน่ายอับอายในหมู่เพื่อนอาจารย์และนักศึกษา แต่ก็เกิดจากความรักหึงหวงหวาดระแวงของจำเลยตามวิสัยสตรีเพศที่เป็นภริยาซึ่งอาจปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ถ้าโจทก์ไม่แสดงความรำคาญใจและฝักใฝ่ในสตรีอื่นให้ปรากฏ ทั้งจำเลยเองก็ไม่สมัครใจหย่าตัดความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากับโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงยังไม่ถึงขั้นประพฤติชั่วที่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงหรือได้รับความดูถูกเกลียดชังเดือดร้อนเกินควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2319/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยมีค่าตอบแทนทางอ้อม (อุปการะเลี้ยงดูบุตร) ไม่ถือเป็นการให้โดยเสน่หา ทำให้ไม่อาจเพิกถอนการโอนได้
แม้ในหนังสือสัญญาให้ที่ดินจะมีข้อความระบุว่า เป็นการให้โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน แต่ยังมีข้อความระบุไว้อีกว่าจำเลยที่ 2ผู้รับให้ต้องรับอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ของจำเลยทั้งสองอีก 3 คนด้วย ข้อความดังกล่าวมีความหมายชัดแจ้งว่า เป็นเงื่อนไขที่จำเลยที่ 2 จำต้องปฏิบัติตามเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 จำต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ทั้ง 3 คนแทนจำเลยที่ 1 ในส่วนที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบด้วย ถือได้ว่าการให้ดังกล่าวเป็นการให้โดยมีค่าตอบแทน จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 โดยมีค่าตอบแทนก่อนที่จำเลยที่ 1 จะเป็นหนี้ตามคำพิพากษาต่อโจทก์ โดยที่จำเลยที่ 2มิได้รู้ถึงหนี้ดังกล่าวมาก่อน จำเลยที่ 2 จึงมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ได้
of 127