คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2876/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องจำเลยที่ 4 (ผู้รับเหมาช่วง) ที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกฟ้องได้ตามกฎหมาย และการคำนวณค่าเสียหายที่ถูกต้อง
จำเลยทั้งสามไม่ได้ให้การยกเรื่องฟ้องของโจทก์ขาดอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 เข้าทำสัญญาจ้างและรับเงิน แต่จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินให้โจทก์โดยจำเลยที่ 3ที่ 4 ลงชื่อในใบรับเงิน และจำเลยที่ 1 ยื่นรายการภาษีเงินได้ประจำปีระบุรายได้ว่าจากการรับเหมาก่อสร้างเป็นเงินที่ขาดทุนสุทธิตรงกับงบดุลของจำเลยที่ 1 และตามงบกำไรขาดทุนของจำเลยที่ 1ก็ระบุรายได้ไว้ในรายการแรกว่าได้จากการรับเหมาก่อสร้างจำนวนเงินตรงกับใบเสร็จรับเงินของจำเลยที่ 1 ที่รับเงินงวดที่ 1 ซึ่งออกให้แก่โจทก์ ตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว เป็นการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการได้ยอมเข้ารับเอาผลงานที่จำเลยที่ 4ได้กระทำไปเกินขอบอำนาจของตัวแทนถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้สัตยาบันแล้ว จึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 เมื่อมีการกระทำผิดสัญญาจำเลยที่ 1 ตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นตัวแทนไม่ต้องร่วมรับผิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 4 ไม่ได้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 โจทก์ว่าจ้าง จ. ทำงานส่วนที่เหลือต่อจากจำเลยที่ 1ซึ่งทิ้งงาน โจทก์จึงต้องจ่ายเงินค่าจ้างงานทั้งหมดเป็นเงินเท่ากับเงินที่จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ไปแล้ว 1 งวด จำนวน 149,800 บาทบวกด้วยเงินที่ต้องจ่ายให้แก่ จ. เป็นค่าจ้างในการทำงานส่วนที่เหลืออีก 782,965 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 932,765 บาทเพราะฉะนั้นโจทก์ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็นเงินเท่ากับเงินจำนวนดังกล่าวลบด้วยค่าจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 หากทำงานแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างจำนวน 749,000 บาท ซึ่งคิดเป็นเงิน 183,765บาท จำนวนเงินดังกล่าวคือค่าเสียหายจริงที่โจทก์ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น หลักประกันเป็นเงินสดที่ผู้รับจ้างมอบไว้แก่ผู้ว่าจ้างตามสัญญาจ้างเป็นเงินประกันความเสียหาย ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหาย เมื่อโจทก์รับไปแล้วต้องนำไปหักออกจากค่าเสียหายในจำนวนทั้งหมดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวิธีการกระทำผิดในคำฟ้อง ไม่ถึงขั้นต้องยกฟ้อง หากข้อสาระสำคัญยังคงเดิมและจำเลยไม่หลงต่อสู้
โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยใช้อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหายกระสุนปืนถูกผู้เสียหายบริเวณศีรษะจำนวน 2 แผลผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันพอถือได้ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำประทุษร้ายและสภาพความบาดเจ็บของผู้เสียหายไว้แล้ว แสดงถึงเจตนาประสงค์ให้ศาลพิพากษาลงโทษในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ ได้รับอันตรายสาหัสด้วยแม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏ ในการพิจารณาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้าย ผู้เสียหายแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญเพราะเป็น เพียง ข้อแตกต่างในวิธีการประทุษร้ายของจำเลย และ จำเลย ก็มิได้หลงต่อสู้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลย ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวิธีการกระทำความผิดในคำฟ้อง ศาลลงโทษได้หากไม่เป็นสาระสำคัญและจำเลยไม่หลงต่อสู้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยได้บรรยายคำฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหายกระสุนถูกบริเวณศีรษะ 2 แผล ได้รับอันตรายสาหัสตามรายงานแพทย์ท้ายฟ้อง พอถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำประทุษร้ายและสภาพความบาดเจ็บของผู้เสียหายไว้แล้วแสดงถึงเจตนาประสงค์ให้ศาลลงโทษ แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายก็มิใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญเพราะเป็นเพียงข้อแตกต่างในวิธีการประทุษร้าย อาวุธและตำแหน่งที่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บก็ตรงตามฟ้อง และจำเลยมิได้หลงต่อสู้จึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2768/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคำฟ้อง: ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ได้ความหากไม่เป็นสาระสำคัญและจำเลยไม่หลงต่อสู้
โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องไว้ด้วยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้เสียหายบริเวณศีรษะ ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสและทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง พอถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำประทุษร้ายและสภาพความบาดเจ็บของผู้เสียหายไว้แล้ว แม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้เสียหายแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะเป็นเพียงข้อแตกต่างในวิธีประทุษร้ายของจำเลย เมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: บุคคลภายนอกคดีพิสูจน์กรรมสิทธิ์ได้ แม้มีคำสั่งศาลถึงที่สุดแล้ว
จำเลยเป็นหลานของล. และอาศัยสิทธิของล. เข้าทำกินในที่ดินพิพาท เมื่อ ล. ตาย จำเลยไม่ได้แจ้งแก่ทายาทของ ล.ว่าจะครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนย่อมถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ ล. และถึงแม้จะมีคำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ตาม แต่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของ ล. เป็นบุคคลภายนอกคดี สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมไม่ผูกพันโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2)โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารที่ชำระค่าเอกสารภายหลังคำพิพากษา ศาลฎีกาพิจารณาจากเจตนาในการแก้ไขข้อหลงลืม
โจทก์ชำระค่าอ้างเอกสารภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วแต่ก่อนที่จำเลยจะฟ้องอุทธรณ์ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นรับฟังเป็นพยานเอกสารและได้แก้ไขข้อหลงลืมแล้ว ไม่ทำให้การรับฟังพยานเอกสารของโจทก์ถึงกับเสียไป ศาลฎีกาย่อมรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวของโจทก์มาประกอบการวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานซื้อ-รับตัวผู้เยาว์ถูกพราก และเป็นธุระจัดหาเพื่อการค้าประเวณี ถือเป็นความผิดหลายกรรม
การที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคสอง บัญญัติว่าผู้ใดโดยทุจริตซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ฯลฯ นั้น หมายความว่า การกระทำผิดจะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่บัญญัติไว้ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อหรือรับตัวนางสาวก. มีผลเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยได้ตัวนางสาวก.ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรกมาอยู่กับจำเลย ส่วนเหตุแห่งการได้ตัวมานั้นไม่ว่าจะได้มาโดยเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม แม้จำเลยมีเจตนาอย่างเดียวคือเป็นธุระจัดหาหญิงไว้เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น แต่การที่จำเลยจะได้นางสาวก.ไว้เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้น จำเลยรับซื้อเอานางสาวก.ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากจากมารดามาไว้กับจำเลยอันเป็นการกระทำความผิดอีกอันหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคสอง ด้วย ซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกัน ต้องถือว่าเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งต่างหาก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานซื้อตัวผู้เยาว์และเป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจาร แม้มีเจตนาเดียวแต่เป็นกรรมต่างกัน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคสอง คำว่าซื้อหรือรับตัวมีผลเป็นทำนองเดียวกันว่าจำเลยได้ตัวนางสาว ก. ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรกมาอยู่กับจำเลย ส่วนเหตุแห่งการได้ตัวมานั้นไม่ว่าจะได้มาโดยเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ฉะนั้นที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซื้อหรือรับตัวนางสาว ก. ผู้เยาว์ไว้ โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม แม้ความมุ่งหมายในการกระทำของจำเลยจะมีอย่างเดียวคือเป็นธุระจัดหาหญิงไว้เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แต่การที่จำเลยจะได้นางสาว ก.ผู้เยาว์ไว้เพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้นจำเลยรับซื้อเอานางสาว ก. ผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากจากมารดามาไว้กับจำเลยอันเป็นการกระทำความผิดอีกอันหนึ่ง ตามมาตรา 319 วรรคสอง ด้วยเพื่อบรรลุผลตามความมุ่งหมาย ซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกันต้องถือว่าเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งต่างหาก ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกัน – การปรับค่าประกัน – เงื่อนไขการชำระ – การลดค่าปรับ – อำนาจศาล
ผู้ประกันทำสัญญาประกันจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อศาลชั้นต้นเป็นฉบับเดียวกัน แล้วผิดสัญญาประกัน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งปรับผู้ประกันในคำสั่งเดียวกันได้ และเมื่อภายหลังผู้ประกันนำตัวจำเลยที่ 3 มาส่งศาลหลังวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปรับผู้ประกัน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะมี คำสั่งลดจำนวนค่าปรับผู้ประกันเฉพาะจำเลยที่ 3 ลงโดยกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องชำระค่าปรับดังกล่าวภายใน 1 เดือน และต้องไม่ผิดนัดชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วยมิฉะนั้นให้ปรับเต็มตามสัญญาประกันอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเกี่ยวพันกับการปรับผู้ประกันในส่วนของจำเลยที่ 2 ที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระค่าปรับกรณีผิดสัญญาประกันได้ตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 119 โดยไม่จำต้องแยกคำสั่งปรับผู้ประกันจำเลยที่ 2และที่ 3 ออกจาก กัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัวและอำนาจศาลในการปรับค่าประกันเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยทั้งสี่ระหว่างฎีกา ผู้ประกันทำสัญญาประกันจำเลยที่ 2ที่ 3 ไปจากศาลชั้นต้น ถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ประกันไม่สามารถส่งตัวจำเลยทั้งสองนี้ได้ ศาลชั้นต้นปรับเต็มจำนวนตามสัญญาประกันคนละ 600,000 บาทต่อมาศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 ยกฟ้องผู้ประกันนำตัวจำเลยที่ 3 มาส่งศาลและของดหรือลดค่าปรับ ศาลสอบถามถึงการชำระค่าปรับในส่วนที่เกี่ยวกับการประกันจำเลยที่ 2 แล้ว ผู้ประกันขอชำระเงินค่าปรับ 300,000 บาท ส่วนที่เหลือขอผ่อนชำระเดือนละ 20,000 บาท จนกว่าจะครบ ศาลชั้นต้นให้รับเงินและผ่อนชำระได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าผู้ประกันทำสัญญาประกันจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นฉบับเดียวกัน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งปรับผู้ประกันเพราะผิดสัญญาประกันในคำสั่งเดียวกันได้ และเมื่อภายหลังผู้ประกันนำตัวจำเลยที่ 3มาส่งศาลหลังวันที่ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันเป็นเวลา 1 เดือนเศษ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งลดค่าปรับผู้ประกันเฉพาะจำเลยที่ 3 ภายในเงื่อนไขซึ่งเกี่ยวพันกับการปรับผู้ประกันในส่วนของจำเลยที่ 2 ว่าต้องชำระค่าปรับที่เห็นควรลดให้แล้วนั้นภายใน 1 เดือน และต้องไม่ผิดนัดการชำระค่าปรับสำหรับจำเลยที่ 2ด้วย มิฉะนั้นให้ปรับเต็มตามสัญญาประกันได้ ตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรตามความใน ป.วิ.อ. มาตรา 119
of 127