คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1572/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการอนุญาตถอนฟ้อง: พิจารณาเหตุผล, ความจำเป็น, และผลกระทบต่ออีกฝ่าย
การที่ศาลจะอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจ ของศาลโดยพิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็นว่าสมควรหรือไม่ เป็นการถอนฟ้องไปเพื่อเจตนาที่จะฟ้องใหม่ โดยแก้ไขฟ้องเดิมที่บกพร่องอันเป็นการเอาเปรียบในเชิง คดีกับอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ ดังนั้น แม้จำเลยจะคัดค้าน แต่ศาลก็ใช้ดุลพินิจ อนุญาต ให้โจทก์ถอนฟ้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์ กรณีเพลิงไหม้โกดัง: พิจารณาความระมัดระวังและเหตุสุดวิสัย
โกดังเก็บสินค้าของจำเลยที่เก็บรักษาทรัพย์สินที่รับฝาก มีผนังเป็นคอนกรีต หลังคาโครงเหล็กมุงสังกะสี สถานที่เก็บรักษาทรัพย์สินที่รับฝากในลักษณะอย่างนี้มีสภาพเหมาะสมกับการเก็บรักษาสินค้าที่รับฝากโดยมีบำเหน็จแล้ว ส่วนการดูแลรักษาทรัพย์สินที่รับฝากนั้นจำเลยมีเครื่องดับเพลิงที่ใช้น้ำยาเคมี ขนาดสูง 2 ฟุต ประมาณ10 เครื่อง แม้จำเลยมิได้จัดให้มีสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ก็ตามแต่จำเลยก็มีพนักงานเฝ้าดูแลโกดังทั้งกลางวันกลางคืน เช่นนี้ ถือได้ว่า จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดั่งนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสอง แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทำกิจการรับฝากสินค้าจากบริษัทต่าง ๆหลายแห่ง และทำมานานสิบกว่าปีแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้รับฝากที่เป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดจึงต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรต้องใช้ในกิจการเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคสาม นั้นข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนมรดกโดยผู้จัดการมรดกเองขัดแย้งกับคำฟ้องเรื่องมอบฉันทะ ศาลยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ.มอบฉันทะให้จำเลยนำที่ดินพิพาทรวมสี่แปลง ไปจำหน่ายเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันระหว่างทายาท จำเลยกลับนำใบมอบฉันทะไปโอนที่ดินทั้งสี่แปลงเป็นของตน เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจที่ให้ไว้ ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่กองมรดกในนามของโจทก์ทั้งสอง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ไปทำการโอนให้จำเลยด้วยตนเองในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ. การโอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง มิใช่การโอนโดยอาศัยใบมอบฉันทะตามที่ฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมาฟังไม่ได้ตามคำฟ้องเช่นนี้ จึงไม่มีกรณีที่จะบังคับให้ตามที่โจทก์ทั้งสองขอมาในคำฟ้อง ต้องพิพากษายกฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าธรรมดา vs. สัญญาต่างตอบแทน: การปรับปรุงอาคารไม่ถือเป็นการตอบแทนสัญญาเช่า
จำเลยที่ 2 ผู้เช่าอาคารมีหนังสือถึงโจทก์ประสงค์ ที่จะรื้ออาคารพิพาทบางส่วนแล้วจะสร้างใหม่เพื่อความสวยงามความปลอดภัย และปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการกระทำที่มุ่งหมายต่อผลประโยชน์ของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะไม่มีข้อความตอนใดที่ให้ถือเอาการรื้อถอนแล้วก่อสร้างอาคารพิพาทบางส่วนขึ้นใหม่เป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ 2ได้เช่าอาคารพิพาททั้งหมด แม้โจทก์จะได้รับประโยชน์จากการกระทำของจำเลยที่ 2 ก็เป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นมิใช่กรณีที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 2 ซ่อมแซมใหญ่ตอบแทนการเช่าอาคารพิพาทต่อไปอีก ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ขอทำสัญญาเช่าต่อจากสัญญาเดิมไปอีก 6 ปี แต่โจทก์ให้ต่อเพียง3 ปี นั้น เป็นเพียงการตกลงกันทำสัญญาเช่าธรรมดาโดยขยายเวลาเช่าในสัญญาเดิมออกไปอีก 3 ปี มิใช่มีสัญญาต่างตอบแทนซ้อนอยู่ในสัญญาเช่าอีกโสดหนึ่งด้วย แสดงว่าสัญญาเช่าอาคารพิพาทเป็นสัญญาเช่าธรรมดามิใช่สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องหนี้จากการชำระบัญชีบริษัท: นับแต่วันจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ไม่ใช่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
อายุความฟ้องเรียกหนี้สินในกรณีที่มีการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทนั้น ป.พ.พ. มาตรา 1272 ได้บัญญัติจำกัดอายุความฟ้องร้องไว้เป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากบทบัญญัติในเรื่องอายุความทั่วไปที่ยาวกว่า และการเริ่มนับอายุความต้องถือตามที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในมาตราดังกล่าว จะนำเอาหลักในเรื่องการนับอายุความทั่วไปในมาตรา 169 มาใช้ไม่ได้ กล่าวคือ ต้องนับระยะเวลาสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี ซึ่งวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชีหมายถึงวันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีตามมาตรา 1270 หาใช่จะต้องนับระยะเวลานับแต่วันที่โจทก์ควรรู้ถึงการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีคือวันที่ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ เพราะการประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา 1021และมาตรา 1022 นั้น เป็นแต่เพียงให้ถือว่าบรรดาเอกสารและข้อความที่ลงทะเบียนและนายทะเบียนได้แต่งย่อไปพิมพ์โฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นอันรู้แก่บุคคลทั่วไปเท่านั้น จะนำมาใช้กับการเริ่มนับอายุความที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษตามมาตรา 1272 ไม่ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นที่ขอกู้เบิกเงินเกินบัญชี คงเป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เท่านั้นถึงแม้ในสัญญาค้ำประกันจะระบุถึงการสละสิทธิในข้อต่อสู้ต่าง ๆในฐานะของผู้ค้ำประกันที่จะพึงมีตามกฎหมายไว้ ก็ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันเปลี่ยนฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ด้วย ในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นหลุดพ้นความรับผิดเนื่องจากหนี้ของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นความรับผิดด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขืนใจเพื่อเอาทรัพย์และการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ของวัยรุ่น ไม่ถึงขั้นชิงทรัพย์
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่แสดงต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นนักเรียนต่างโรงเรียนกันในขณะที่มีอาการมึนเมาโดยเอาเสื้อของผู้เสียหายที่พาด บ่าผู้เสียหายไป เมื่อลงจากรถโดยสารประจำทางไปแล้วก็มิได้มีกิริยาที่จะหลบหนี หรือพาไปให้พ้นทั้งยังตามไปในโรงแรมที่ผู้เสียหายเข้าไป โดยเสื้อที่เอาไปก็ยังพาด บ่าจำเลยที่ 2อยู่ การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นวัยรุ่นเช่นนั้น เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาที่จะเอาไปเป็นของตนเอง อันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป แต่เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ทำไปด้วยความคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายเห็นว่าเป็นคนเก่ง พอที่จะรังแกคนได้ตามวิสัยวัยรุ่นที่ความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่เป็นการมุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานชิง ทรัพย์ การที่จำเลยที่ 1 พูดในลักษณะที่เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายว่าถ้า ไม่ให้เสื้อแก่จำเลยที่ 2 จะเจ็บตัวจนผู้เสียหายยอมให้เสื้อไปนั้น เป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายต้องจำยอมโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย อันเป็นความผิดต่อเสรีภาพตามป.อ. มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งความผิดดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิง ทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงต้องลงโทษจำเลยที่ 1ตามที่พิจารณาได้ความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำชิงทรัพย์ในวัยรุ่น: การแสดงอำนาจและข่มขู่ใจ ไม่ถึงเจตนาทุจริต
เมื่อพฤติการณ์ในคดีฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 นั้นมิได้มีเจตนาที่จะเอาเสื้อของผู้เสียหายไปเป็นของตนเองอันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป แต่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ด้วยความคะนองตามวิสัยวัยรุ่นที่ความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่เป็นการมุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์นั้น จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาลักทรัพย์อันจะทำให้จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานชิงทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 1ซึ่งร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำการดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แต่การที่จำเลยที่ 1 พูดในลักษณะที่เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายว่าถ้าไม่ให้เสื้อจำเลยที่ 2 จะเจ็บตัวจนผู้เสียหายยอมให้เสื้อไปนั้นเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายต้องจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานพยานบอกเล่าและการเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นฉ้อโกง
โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นในขณะกระทำผิดมาเบิกความคงมีแต่คำให้การของผู้เสียหาย และ ล. ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวน และมีคำเบิกความของพนักงานสอบสวนรับรองว่าได้สอบปากคำผู้เสียหายและ ล. ไว้ พยานโจทก์จึงมีแต่พยานบอกเล่า โดยไม่มีพยานอื่นใดประกอบ ไม่เป็นหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยกระทำตามที่บอกเล่าแม้โจทก์จะนำสืบและส่งคำให้การของผู้เสียหายกับ ล.ต่อศาลโดยจำเลยมิได้ค้านว่าข้อความในเอกสารไม่ถูกต้อง ก็ไม่อาจถือได้ว่าเหตุการณ์เป็นจริงดังที่ผู้เสียหายและ ล. ให้การ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 3 หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและได้ไปซึ่งเงินจำนวน 11,000 บาท จากผู้เสียหายอันเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อหาปล้นทรัพย์ แต่การกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นการลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการชิงทรัพย์ซึ่งเป็นการได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไปเช่นเดียวกันกับความผิดฐานฉ้อโกง จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ อันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานฉ้อโกงตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายในคดีอาญา และการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิด
โจทก์อุทธรณ์โต้เถียง ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196นั้น ไม่จำต้องโต้แย้งไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็มีสิทธิอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงและให้ใช้ราคาทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สืบตัวโจทก์จบคำซักถามทนายโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายในคดีส่วนอาญาและไม่เสื่อมสิทธิเรียกร้องที่มีต่อธนาคาร จึงไม่มีอำนาจฟ้องทั้งในคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่อาจรับฟังได้เป็นยุติ เช่นนี้ ชอบที่ศาลสูงจะย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในคดีอาญา: การโต้แย้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย, คำสั่งระหว่างพิจารณา, ผู้เสียหาย
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยหักเงินจากบัญชีของโจทก์ในฐานะจำเลยเป็นตัวแทนของธนาคาร ทั้งที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์และหักเงินจากบัญชีของโจทก์โดยธนาคารไม่ทราบเรื่อง และอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์ต้องสูญเสียเงิน และฝ่ายได้รับความเสียหายโดยไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้เถียงว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญาไม่จำต้องโต้แย้งไว้ก่อน แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ทั้งโจทก์อุทธรณ์ด้วยว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายนั้นไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาด้วยแล้ว
of 127