พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5486/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในสัญญาประนีประนอมยอมความ การไต่สวนพยานหลักฐานเป็นสิ่งจำเป็น
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ไปทำการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ และโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 2 พร้อมกัน ณ สำนักงานที่ดินเวลา 11 นาฬิกา ถึงวันนัด ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าฝ่ายตนปฏิบัติตามสัญญา แต่อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปและคอยโจทก์ที่สำนักงานที่ดินพร้อมด้วยเอกสารอันจำเป็นในการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ฝ่ายโจทก์ตั้งแต่เวลา 10.30 นาฬิกา ถึงเวลา 12 นาฬิกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์นำเอกสารการรับโอนสิทธิไปสำนักงานที่ดินเวลา 10.45 นาฬิกา และแจ้งทนายจำเลยทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็คขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดินเตรียมเอกสารต่าง ๆในการทำนิติกรรมให้ และโจทก์ได้เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดเพื่อชำระให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ตามสัญญา เช่นนี้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรศาลชั้นต้นชอบที่จะทำการไต่สวนให้ได้ความจริงเป็นยุติ โดยเฉพาะถ้าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ให้ทนายโจทก์ไปแจ้งต่อทนายจำเลยที่สำนักงานที่ดินว่าพร้อมที่จะรับโอนที่ดินเป็นความจริง จำเลยที่ 2ก็จะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเสียทีเดียวยังไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่นัดสอบถามแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5486/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้ความยุติก่อนวินิจฉัยว่าฝ่ายใดผิดสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ไปทำการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ และโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 2 พร้อมกันณ สำนักงานที่ดินเวลา 11 นาฬิกา ถึงวันนัด ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าฝ่ายตนปฏิบัติตามสัญญา แต่อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยที่ 2 แถลงว่า จำเลยที่ 2 ได้ไปและคอยโจทก์ที่สำนักงานที่ดินพร้อมด้วยเอกสารอันจำเป็นในการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ฝ่ายโจทก์ตั้งแต่เวลา 10.30 นาฬิกา ถึงเวลา12 นาฬิกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์นำเอกสารการรับโอนสิทธิไปสำนักงานที่ดิน เวลา 10.45 นาฬิกา และแจ้งทนายจำเลยทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็คขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดินเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้ และโจทก์ได้เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดเพื่อชำระให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ตามสัญญา เช่นนี้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ศาลชั้นต้นชอบที่จะทำการไต่สวนให้ได้ความจริงเป็นยุติ โดยเฉพาะถ้าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ให้ทนายโจทก์ไปแจ้งต่อทนายจำเลยที่สำนักงานที่ดินว่าพร้อมที่จะรับโอนที่ดินเป็นความจริง จำเลยที่ 2 ก็จะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเสียทีเดียวยังไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่นัดสอบถามแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5480/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องแบ่งมรดกซ้ำกับคดีก่อนที่เคยฟ้องแล้วย่อมถูกห้ามตามกฎหมาย
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ขอให้แบ่งปันมรดกให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่จำเลยทั้งสามทำกับผู้จัดการมรดกร่วมของผู้ตายโดยมิได้ขอแบ่งที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของผู้ตายด้วย คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแม้โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นการฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่โจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันระบุถึงส่วนแบ่งมรดก การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีก่อนจึงเป็นการเรียกร้องมรดกในฐานะที่ตนเป็นทายาทนั่นเอง ในเมื่อคดีก่อนโจทก์มิได้ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทที่เป็นมรดกมาด้วยตามสิทธิที่จะเรียกร้องได้ คงมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสามเป็นคู่ความรายเดียวกัน คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนตามที่คู่ความนำสืบก็เป็นการนำสืบโดยถูกต้องตามวิธีพิจารณา ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้.
ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนตามที่คู่ความนำสืบก็เป็นการนำสืบโดยถูกต้องตามวิธีพิจารณา ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5480/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องแบ่งมรดกซ้ำหลังคดีก่อนถึงที่สุดแล้ว
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ขอให้แบ่งปันมรดกให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่จำเลยทั้งสามทำกับผู้จัดการมรดกร่วมของผู้ตายโดยมิได้ขอแบ่งที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของผู้ตายด้วย คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแม้โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นการฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่โจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันระบุถึงส่วนแบ่งมรดก การฟ้องคดีของโจทก์ในคดีก่อนจึงเป็นการเรียกร้องมรดกในฐานะที่ตนเป็นทายาทนั่นเอง ในเมื่อคดีก่อนโจทก์มิได้ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทที่เป็นมรดกมาด้วยตามสิทธิที่จะเรียกร้องได้ คงมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงเป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้ในคดีก่อน เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสามเป็นคู่ความรายเดียวกัน คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้รื้อร้องฟ้องกันอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนตามที่คู่ความนำสืบก็เป็นการนำสืบโดยถูกต้องตามวิธีพิจารณา ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5444/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาขัดกับข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์คดีแพ่งและการฟังข้อเท็จจริงเรื่องการขาดนัด
ในชั้นขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่าเป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในคดีเป็นเงินไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จำเลยฎีกาว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5444/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดสิทธิฎีกาในคดีแพ่ง: ทุนทรัพย์ และการขาดนัดยื่นคำให้การ/ขาดนัดพิจารณา
ในชั้นขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่าเป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในคดีเป็นเงินไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่.
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5323/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาการเรียกรับเงินที่วางศาลตามคำพิพากษาตามยอม เริ่มนับจากวันที่วางเงิน ไม่ใช่วันที่รู้เรื่อง
เงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ย่อมเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 323 ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้มีสิทธิเรียกเอาเงินดังกล่าวจะต้องเรียกเอาภายใน 5 ปี นับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาลอันเป็นวันที่โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเอาเงินนั้นได้ หาใช่นับจากวันที่โจทก์ได้รู้ว่ามีการวางเงินไม่ เมื่อโจทก์มิได้เรียกเอาเงินดังกล่าวภายใน 5 ปี เงินจำนวนนี้จึงตก เป็นของแผ่นดินและโจทก์เป็นอันสิ้นสิทธิที่จะขอรับไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5268/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปกปิดเจ็บป่วยก่อนทำประกันชีวิตทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ จำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญาได้
ช. ป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังอยู่ในขณะที่ทำคำขอเอาประกันชีวิตแต่ ช. กลับระบุในคำขอดังกล่าวว่าตนสุขภาพสมบูรณ์ดี ในระหว่างสองปีที่แล้วมาไม่เคยเข้าสถานพยาบาลทำการรักษาตัวความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของ ช. ดังกล่าวเป็นข้อสำคัญสำหรับประกอบการวินิจฉัยของจำเลยผู้รับประกันภัยว่าจะรับประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อ ช. ปกปิดข้อความจริงดังกล่าว สัญญาประกันชีวิตช. จึงเป็นโมฆียะ และข้อความจริงดังกล่าวมิใช่เรื่องที่ตัวแทนของจำเลยจะรู้ได้เอง จึงถือไม่ได้ว่าตัวแทนของจำเลยรู้หรือจำเลยควรจะรู้หากใช้ความระมัดระวัง จำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 แล้ว สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5268/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปกปิดข้อมูลสุขภาพในสัญญาประกันชีวิตทำให้สัญญามีผลเป็นโมฆียะ หากจำเลยบอกล้างสัญญาทันที
ช. ป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังอยู่ในขณะที่ทำคำขอเอาประกันชีวิตแต่ ช. กลับระบุในคำขอดังกล่าวว่าตนสุขภาพสมบูรณ์ดี ในระหว่างสองปีที่แล้วมาไม่เคยเข้าสถานพยาบาลทำการรักษาตัวความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของ ช. ดังกล่าวเป็นข้อสำคัญสำหรับประกอบการวินิจฉัยของจำเลยผู้รับประกันภัยว่าจะรับประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อ ช. ปกปิดข้อความจริงดังกล่าว สัญญาประกันชีวิตช. จึงเป็นโมฆียะ และข้อความจริงดังกล่าวมิใช่เรื่องที่ตัวแทนของจำเลยจะรู้ได้เอง จึงถือไม่ได้ว่าตัวแทนของจำเลยรู้หรือจำเลยควรจะรู้หากใช้ความระมัดระวัง จำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวต่อโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 แล้ว สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเนื่องหลายกระทง: เจตนาแยกต่างหากทำให้เป็นความผิดหลายกระทงได้ แม้กระทำต่อเนื่อง
ความผิดที่กระทำต่อเนื่องอาจเป็นความผิดหลายกระทงได้ หากได้ความว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดที่สมบูรณ์แยกจากกันได้ จำเลยฉีกธงชาติไทยอันมีความหมายถึงรัฐเพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ และยังใช้ไม้ตีทุบเกศเศียร พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา อันเป็นคนละเจตนา แต่ละเจตนาเป็นความผิดในตัวเองแยกจากกันเป็นความผิดคนละกระทง แม้กระทำต่อเนื่องกัน และแต่ละกระทงดังกล่าวคือเจตนาในการทำให้เสียทรัพย์เช่นเดียวกัน จึงเป็นความผิดหลายบทในแต่ละกระทงกล่าวคือ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118,360,90กระทงหนึ่ง และมาตรา 206,360 ทวิ,90 อีกกระทงหนึ่ง