คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2051/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจากครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเพียงครอบครอง ศาลฎีกาไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐาน มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76ลดโทษแล้วจำคุก 2 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษฐาน มีกัญชาไว้ในครอบครองโดย ไม่ได้รับอนุญาตตาม มาตรา 76 วรรคแรกซึ่ง เป็นมาตราเดียว กัน ลดโทษแล้วคงจำคุก 1 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีขัดขืนคำสั่งศาล: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งศาลโดยตรง
บทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 170 มีความมุ่งหมายจะเอาโทษแก่ผู้ที่ได้ขัดขืนหมายหรือคำสั่งของศาลให้มาให้ถ้อยคำ ให้มาเบิกความหรือให้ส่งทรัพย์หรือเอกสารใดในการพิจารณาคดีอันเป็นบทบัญญัติถึงการกระทำความผิดต่อศาลซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมโดยเฉพาะแม้โจทก์จะอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยขัดขืนคำสั่งศาลไม่ส่งเงินที่อายัดไว้ไปยังศาลแพ่ง แต่ก็ไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงอันเกิดจากการกระทำผิดของจำเลย เพราะโจทก์จำเลยมิได้มีสิทธิและหน้าที่ต่อกัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นการล่วงสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2026/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเลยการส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนด และยกเหตุผลใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยส่งสำเนาอุทธรณ์ ถ้า ส่งไม่ได้ให้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นถือ ว่าดำเนินการต่อไปเมื่อล่วงเลยเวลาตาม ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ โดย มิได้อ้างเหตุผลและความจำเป็นใด ๆ ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยเพิ่งจะยกข้ออ้างที่ว่าเพิ่งรู้ว่าส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้เมื่อไปดู รายงานการเดินหมายมาอ้างในชั้นฎีกาข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2011/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่า การมีอำนาจฟ้อง และค่าเสียหายจากการเช่าค้างชำระ
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลา ตกลง ชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5ของทุกเดือน โจทก์บอกเลิกการเช่า ให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทภายในวันที่ 5 มีนาคม 2528 จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าวันที่ 31 มกราคม 2528 นับจากวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า จนถึง วันเลิกสัญญา เป็นเวลานานกว่า 1 เดือน เป็นการบอกกล่าวแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนชั่ว กำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งแล้ว การบอกเลิกสัญญาเช่าจึงเป็นไปโดย ชอบตาม ป.พ.พ.มาตรา 566 ประกอบมาตรา 570 โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายก่อนฟ้องจำนวน 120,000 บาทอัตราค่าทนายความชั้นสูงในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาตาม ตาราง 6ท้าย ป.วิ.พ. ไม่เกินจำนวนร้อยละ 3.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบิดามารดาต่อการกระทำละเมิดของบุตรผู้เยาว์ หากมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
กรณีในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 บิดามารดาจะต้องพิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น
จำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาและได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยในระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ตามไปอยู่ด้วยเท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบิดามารดาต่อการกระทำละเมิดของบุตรผู้เยาว์ หากไม่พิสูจน์ความระมัดระวัง
กรณีในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429บิดามารดาจะต้อง พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ ความระมัดระวังตาม สมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่ง ทำอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ไปรับจ้างทำงานในจังหวัด นครราชสีมาและได้ ทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยในระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่ง เป็นบิดามารดาอยู่ในจังหวัด บุรีรัมย์ แต่ จำเลยที่ 2 และที่ 3นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไปรับจ้างทำงานในจังหวัด นครราชสีมา โดย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ตาม ไปอยู่ด้วยเท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ ความระมัดระวังตาม สมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่ง ทำอยู่นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้อง ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบิดามารดาต่อการกระทำละเมิดของผู้เยาว์: การดูแลตามสมควร
จำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ไปรับจ้างทำงานที่จังหวัดนครราชสีมาและได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยในระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ตามไปอยู่ด้วยเท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 จำเลยที่ 2 และที่ 3จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของบิดามารดาต่อการกระทำละเมิดของบุตรผู้เยาว์ จำเป็นต้องพิสูจน์ความระมัดระวังตามหน้าที่
กรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่ง เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในผลของการละเมิดของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 429 นั้น จำเลยที่ 2และที่ 3 จะต้อง พิสูจน์ว่าตน ได้ ใช้ ความระมัดระวังตาม สมควรแก่หน้าที่ดูแล ซึ่ง ทำอยู่นั้น แต่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบแต่ เพียงว่าจำเลยที่ 1 ไปรับจ้างทำงานในจังหวัด นครราชสีมา โดย จำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่ได้ตาม ไปด้วย เท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตน ได้ ใช้ความระมัดระวังตาม สมควรแก่หน้าที่ดูแล ซึ่ง ทำอยู่นั้น จำเลยที่ 2และที่ 3 จึงต้อง ร่วม รับผิดกับจำเลยที่ 1.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การเรียกผู้ตายลงจากบ้านเพื่อลงมือยิงถือเป็นการวางแผน
ผู้ตายมีกรณีพิพาทกับจำเลยเรื่องที่ดิน และต่อมาในคืนนั้นผู้ตายก็ถูก จำเลยยิงตาย โดย จำเลยมาเรียกผู้ตายพอผู้ตายลงมาจากบ้านยังไม่ถึงตัว จำเลย จำเลยก็ยิงทันที แสดงว่าเหตุที่จะต้องมีการกระทำถึง กับเอาชีวิต กันนั้นมิได้เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่ เป็น กรณีที่จำเลยมาเรียกผู้ตายลงไปเพื่อฆ่าโดย ได้ มีความมุ่งหมาย ที่จะ ฆ่าผู้ตายมาก่อนแล้ว ถือ ได้ ว่าเป็นการฆ่าโดย มีการไตร่ตรอง ไว้ก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การประเมินจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยใช้เหล็กแหลมสำหรับนำหวายในการจักสานยาวทั้งด้ามประมาณ 6 นิ้ว แทงผู้เสียหายที่บริเวณลิ้นปี่ และท้องน้อยข้างซ้ายเป็นบาดแผลขนาด 3 มิลลิเมตร และมีบาดแผลที่กระเพาะอาหารขนาด 0.5 เซนติเมตร จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีโอกาสเลือกแทงผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญโดยตั้งใจ จึงฟังได้ว่าจำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้เสียหายโดยเจตนาทำร้าย ไม่ใช่โดยเจตนาฆ่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินยี่สิบวันเมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจนประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษได้ตาม ป.อาญา มาตรา 297ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 192
of 127