คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อากาศ บำรุงชีพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันในการปล่อยตัวชั่วคราว ไม่ใช่ทรัพย์ที่ศาลรักษาไว้เพื่อวินิจฉัยคดี จึงไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185
คำว่า "ทรัพย์หรือเอกสารใด" ที่ได้ส่งไว้ต่อศาล หรือที่ศาลให้รักษาไว้ในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 นั้นหมายถึงสิ่งที่จะต้องส่งหรือรักษาไว้เพื่อวินิจฉัยประเด็นในการพิจารณาคดีเท่านั้น
สมุดฝากเงินออมสินที่จำเลยได้นำไปมอบให้ศาลยึดไว้เป็นหลักทรัพย์ประกันตัวจำเลยอื่นในคดีอาญา มิใช่เป็นทรัพย์หรือเอกสารที่จะเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย จึงไม่เป็นทรัพย์หรือเอกสารที่ได้ส่งศาล หรือที่ศาลให้รักษาไว้ในการพิจารณาคดตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าสมุดฝากเงินออมสินดังกล่าวสูญหายไป แล้วนำหลักฐานการแจ้งหายไปเบิกเงินปิดบัญชีสมุดหายเลิกฝากและได้เงินตามจำนวนที่ฝากไป โดยที่ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องก็ยังไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประกันอันจะถือว่ามีข้อพิพาทกันอีกส่วนหนึ่งในคดีเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185
คำรับสารภาพของจำเลยในคดีอาญาเป็นเพียงรับว่าได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น การกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา เมื่อเห็นว่าการกระทำของจำเลยในข้อหาใดไม่เป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์ที่ส่งศาลต้องเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีโดยตรง การแจ้งหายสมุดฝากเพื่อเบิกเงินไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185
คำว่า "ทรัพย์หรือเอกสารใด" ที่ได้ส่งไว้ต่อศาล หรือที่ศาลให้รักษาไว้ในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 นั้นหมายถึงสิ่งที่จะต้องส่งหรือรักษาไว้เพื่อวินิจฉัยประเด็นในการพิจารณาคดีเท่านั้น สมุดฝากเงินออมสินที่จำเลยได้นำไปมอบให้ศาลยึดไว้เป็นหลักทรัพย์ประกันตัวจำเลยอื่นในคดีอาญา มิใช่เป็นทรัพย์หรือเอกสารที่จะเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย จึงไม่เป็นทรัพย์หรือเอกสารที่ได้ส่งศาล หรือที่ศาลให้รักษาไว้ในการพิจารณาคดตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าสมุดฝากเงินออมสินดังกล่าวสูญหายไป แล้วนำหลักฐานการแจ้งหายไปเบิกเงินปิดบัญชีสมุดหายเลิกฝากและได้เงินตามจำนวนที่ฝากไป โดยที่ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องก็ยังไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประกันอันจะถือว่ามีข้อพิพาทกันอีกส่วนหนึ่งในคดีเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185 คำรับสารภาพของจำเลยในคดีอาญาเป็นเพียงรับว่าได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น การกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา เมื่อเห็นว่าการกระทำของจำเลยในข้อหาใดไม่เป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ: การป้องกันสิทธิ vs. เหตุข่มเหง
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิ vs. การกระทำด้วยเหตุบันดาลโทสะ: การแทงหลังถูกทำร้ายและการพิจารณาเหตุข่มเหง
ผู้เสียหายเข้าไปชกจำเลย 2 ที แล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ภยันตรายซึ่ง เกิด จากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายจึงผ่าน พ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้อง กระทำเพื่อป้องกันอีกการที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังถูก ชนจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนแต่ การที่ผู้เสียหายเข้าไปชกต่อยจำเลยขณะที่เล่นไพ่อยู่ โดย ที่จำเลยมิได้สมัครใจจะวิวาทกับผู้เสียหายมาก่อนเช่นนี้ ถือ ได้ ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูก ข่มเหงอย่าง ร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่ เป็นธรรมการที่จำเลยแทงผู้เสียหายทันทีหลังจากถูก ชกต่อย จึงเป็นการกระทำความผิดต่อ ผู้ข่มเหงในขณะนั้น ซึ่ง เป็นการกระทำด้วย เหตุบันดาลโทสะ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและเหตุป้องกันสิทธิ การพิจารณาเจตนาและความร้ายแรงของการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือวันภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิต ถึงแม้มีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญแต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและการป้องกันสิทธิที่เกินเลย ศาลพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 987/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนิติบุคคลต่อการกระทำผิดฐานพนัน: การรู้เห็นเป็นใจของผู้แทน
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลยื่นคำร้องขอให้คืนของกลางแก่ผู้ร้องในการที่จะพิจารณาว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดหรือไม่นั้น ต้อง พิจารณาจากผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของผู้ร้อง คดีนี้การจัดให้มีโต๊ะสนุกเกอร์ อยู่ในวัตถุประสงค์ของผู้ร้อง ผู้ที่ดูแล โต๊ะสนุกเกอร์ จึงต้อง ถือ ว่าเป็นผู้แทนอื่น ๆ ของผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอคุ้มครองประโยชน์ต้องอยู่ในขอบเขตคำฟ้อง การขอให้จำเลยวางเงินรายได้จากการทำสวนยางเป็นการขอเกินคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพิพาทร่วมกับกองมรดกของ จ. เท่านั้น มิได้ฟ้องขอเรียกค่าเสียหายมาด้วยการที่โจทก์ยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาโดยขอให้ตั้งผู้จัดการสวนยางพิพาทให้เข้ากรีดยางแล้วนำรายได้ 7 ใน 8 ส่วนมาวางศาลหรือมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยประมูลรายได้จากการทำสวนยางหากฝ่ายใดชนะให้ฝ่ายนั้นเข้าทำประโยชน์ในสวนยางแปลงพิพาทแล้วนำเงินรายได้ที่ประมูลมาวางศาล เป็นการยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้อง เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีก็ไม่อาจขอให้ศาลบังคับตามคำขอได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอคุ้มครองประโยชน์ต้องไม่เกินคำขอในฟ้อง การยื่นขอสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคำฟ้อง ศาลไม่อาจบังคับได้
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพิพาทร่วมกับกองมรดกของ จ. เท่านั้น มิได้ฟ้องขอเรียกค่าเสียหายมาด้วย การที่โจทก์ยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์ ในระหว่างพิจารณาโดย ขอให้ตั้ง ผู้จัดการสวนยางพิพาทให้เข้ากรีดยางแล้วนำรายได้7 ใน 8 ส่วนมาวางศาล หรือมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยประมูลรายได้จากการทำสวนยาง หากฝ่ายใดชนะให้ฝ่ายนั้นเข้าทำประโยชน์ในสวนยางแปลงพิพาทแล้วนำเงินรายได้ที่ประมูลมาวางศาล เป็นการยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้อง เป็นเรื่อง นอกฟ้องนอกประเด็น แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีก็ไม่อาจขอให้ ศาลบังคับตาม คำขอได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 835/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาผิดสัญญาประกัน: ผลกระทบจากการแก้ไข ป.วิ.อ. มาตรา 119
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันเต็มตามสัญญาประกันฐานผิดสัญญาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ประกันจะฎีกาไม่ได้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 119 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดย ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ซึ่งผู้ประกันจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่ยื่นฎีกานั้นเอง.
of 127