พบผลลัพธ์ทั้งหมด 640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3980/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้แบ่งสินสมรสเป็นธรรม
ในคดีฟ้องขอให้แยกสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย เมื่อคำฟ้องโจทก์บรรยายไว้พอเข้าใจได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็มีสินเดิม ดังนี้หากจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสินเดิมประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในข้อมีสินเดิมหรือไม่จึงไม่เกิดขึ้น จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบได้ แม้ศาลชั้นต้นให้จำเลยสืบก็เป็นการสืบนอกประเด็น และหากศาลรับวินิจฉัยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนอกประเด็นและยังมีประเด็นข้ออื่นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยต่อไป แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมาและข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่ โจทก์จำเลยที่ 1 สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5(เดิม) ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรส กฎหมายลักษณะผัวเมียไม่ได้บัญญัติไว้ว่าให้มีการแยกสินสมรสโดยไม่ได้ฟ้องหย่า แต่ก็ไม่มีบังคับไว้ว่าถ้ายังไม่หย่าจะต้องบริคณห์ทรัพย์สินกันเสมอไปจะแยกมิได้ ฉะนั้นการที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 และ 1484 มาใช้แก่คู่สมรสซึ่งสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5(เดิม)จึงไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงการสมรสหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวตามความหมายที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 4(1) และพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 4ได้ยกเว้นนั้นแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยเสน่หาโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งสินสมรสดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3980/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสกรณีคู่สมรสสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ และการโอนสินสมรสโดยเสน่หา
ในคดีฟ้องขอให้แยกสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย เมื่อคำฟ้องโจทก์บรรยายไว้พอเข้าใจได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็มีสินเดิม ดังนี้หากจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสินเดิมประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในข้อมีสินเดิมหรือไม่จึงไม่เกิดขึ้น จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบได้ แม้ศาลชั้นต้นให้จำเลยสืบก็เป็นการสืบนอกประเด็น และหากศาลรับวินิจฉัยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนอกประเด็นและยังมีประเด็นข้ออื่นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยต่อไป แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมาและข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่
โจทก์จำเลยที่ 1 สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 (เดิม) ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรส กฎหมายลักษณะผัวเมียไม่ได้บัญญัติไว้ว่าให้มีการแยกสินสมรสโดยไม่ได้ฟ้องหย่า แต่ก็ไม่มีบังคับไว้ว่าถ้ายังไม่หย่าจะต้องบริคณห์ทรัพย์สินกันเสมอไปจะแยกมิได้ ฉะนั้นการที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 และ 1484 มาใช้แก่คู่สมรสซึ่งสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (เดิม)จึงไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงการสมรสหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวตามความหมายที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 4(1) และพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 4ได้ยกเว้นนั้นแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยเสน่หาโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งสินสมรสดังกล่าวได้
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนอกประเด็นและยังมีประเด็นข้ออื่นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยต่อไป แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมาและข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่
โจทก์จำเลยที่ 1 สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 (เดิม) ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรส กฎหมายลักษณะผัวเมียไม่ได้บัญญัติไว้ว่าให้มีการแยกสินสมรสโดยไม่ได้ฟ้องหย่า แต่ก็ไม่มีบังคับไว้ว่าถ้ายังไม่หย่าจะต้องบริคณห์ทรัพย์สินกันเสมอไปจะแยกมิได้ ฉะนั้นการที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 และ 1484 มาใช้แก่คู่สมรสซึ่งสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 (เดิม)จึงไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงการสมรสหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวตามความหมายที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 4(1) และพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 4ได้ยกเว้นนั้นแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยเสน่หาโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งสินสมรสดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3928/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดจากการก่อสร้างถนน: เริ่มนับจากความเสียหายเพิ่มเติมต่อเนื่อง
วันที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์เริ่มตั้งแต่วันใดไม่ปรากฏแต่บันทึกความเสียหายที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ไว้ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2522 และหลังจากนั้นปรากฏว่าบ้านของโจทก์ยังเสียหายเพิ่มเติมขึ้นอีกเรื่อย ๆ แม้จำเลยจะมีหลักฐานการรับมอบงานช่วงหน้าบ้านโจทก์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ก่อสร้างถนนในส่วนวางท่อระบายน้ำ ถมทรายบนท่อ พร้อมทั้งบดอัดแน่น และทำผิวจราจรถมทรายและบดอัดแน่นเสร็จตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2522 แล้วก็ตามแต่หลังจากวันที่ 8 ธันวาคม 2522 ยังมีการทำถนนบริเวณหน้าบ้านโจทก์ต่อไป การที่บ้านโจทก์ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ 8 ธันวาคม 2522 จึงสืบเนื่องมาจากการทำถนนของจำเลยที่ 1 นั่นเองโจทก์ให้ช่างซ่อมตัวบ้านไม่ให้ทรุด ลงอีกในปลายปี 2523 และฟ้องคดีนี้วันที่ 23 เมษายน 2524 ยังไม่พ้นเวลา 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3928/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดจากการก่อสร้างถนน: การพิจารณาจุดเริ่มต้นความเสียหายต่อเนื่อง
วันที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์เริ่มตั้งแต่วันใดไม่ปรากฏแต่บันทึกความเสียหายที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ไว้ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2522 และหลังจากนั้นปรากฏว่าบ้านของโจทก์ยังเสียหายเพิ่มเติมขึ้นอีกเรื่อย ๆ แม้จำเลยจะมีหลักฐานการรับมอบงานช่วงหน้าบ้านโจทก์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ก่อสร้างถนนในส่วนวางท่อระบายน้ำ ถมทรายบนท่อ พร้อมทั้งบดอัดแน่น และทำผิวจราจรถมทรายและบดอัดแน่นเสร็จตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2522 แล้วก็ตามแต่หลังจากวันที่ 8 ธันวาคม 2522 ยังมีการทำถนนบริเวณหน้าบ้านโจทก์ต่อไป การที่บ้านโจทก์ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นหลังจากวันที่8 ธันวาคม 2522 จึงสืบเนื่องมาจากการทำถนนของจำเลยที่ 1 นั่นเองโจทก์ให้ช่างซ่อมตัวบ้านไม่ให้ทรุด ลงอีกในปลายปี 2523 และฟ้องคดีนี้วันที่ 23 เมษายน 2524 ยังไม่พ้นเวลา 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448จึงไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3928/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการก่อสร้างถนน - อายุความ - ความเสียหายต่อเนื่อง - หลักฐานพยาน
วันที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์เริ่มตั้งแต่วันใดไม่ปรากฏแต่บันทึกความเสียหายที่จำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ไว้ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2522 และหลังจากนั้นปรากฏว่าบ้านของโจทก์ยังเสียหายเพิ่มเติมขึ้นอีกเรื่อย ๆ แม้จำเลยจะมีหลักฐานการรับมอบงานช่วงหน้าบ้านโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ก่อสร้างถนนในส่วนวางท่อระบายน้ำ ถมทรายบนท่อ พร้อมทั้งบดอัดแน่น และทำผิวจราจร ถมทรายและบดอัดแน่นเสร็จตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2522แล้วก็ตาม แต่หลังจากวันที่ 8 ธันวาคม 2522 ยังมีการทำถนนบริเวณหน้าบ้านโจทก์ต่อไป การที่บ้านโจทก์ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ 8 ธันวาคม 2522 จึงสืบเนื่องมาจากการทำถนนของจำเลยที่ 1 นั่นเอง โจทก์ให้ช่างซ่อมตัวบ้านไม่ให้ทรุดลงอีกในปลายปี 2523 และฟ้องคดีนี้วันที่ 23 เมษายน 2524ยังไม่พ้นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้ทนายถอนตัว, งดสืบพยาน, และประเด็นการฟ้องที่ไม่ชัดเจนในคดีแพ่ง
จำเลยขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยมาแล้ว 1 ครั้ง อ้างว่าทนายจำเลยป่วย ศาลอนุญาตโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาสืบให้พร้อม ถ้าพยานปากใดไม่มาถือว่าไม่ติดใจสืบ ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้ ป. มายื่นคำร้องว่าทนายจำเลยขอถอนตัวจากการเป็นทนายให้จำเลย และขอเลื่อนคดีไปเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ โดยไม่ปรากฏว่าการขอถอนตัวจากการเป็นทนายได้แจ้งให้ตัวจำเลยทราบหรือหาตัวจำเลยไม่พบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลย จึงชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 เมื่อจำเลยยังมีทนายอยู่ จึงไม่มีเหตุที่จะขอเลื่อนคดีเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นได้กำชับในนัดก่อนแล้วว่า หากพยานปากใดไม่มาศาล ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อไม่มีพยานจำเลยมาศาลเลยศาลชั้นต้นจึงงดสืบพยานจำเลยเสียได้ ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินลดจากโจทก์ 200,000 บาท และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินในเช็คและดอกเบี้ยรวม 270,363 บาท เท่านั้น ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้กู้เงินและรับเงิน 400,000 บาทไปจากโจทก์หรือไม่ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้และรับเงิน 400,000 บาทจากโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229หมายความรวมถึงค่าทนายความด้วย ซึ่งผู้อุทธรณ์ต้องนำมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดี, งดสืบพยาน, และการรับวินิจฉัยฎีกาในประเด็นที่ยังไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น
จำเลยขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยมาแล้ว 1 ครั้ง อ้างว่าทนายจำเลยป่วย ศาลอนุญาตโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาสืบให้พร้อม ถ้าพยานปากใดไม่มาถือว่าไม่ติดใจสืบ ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้ป. มายื่นคำร้องว่าทนายจำเลยขอถอนตัวจากการเป็นทนายให้จำเลยและขอเลื่อนคดีไปเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ โดยไม่ปรากฏว่า การขอถอนตัวจากการเป็นทนายได้แจ้งให้ตัวจำเลยทราบหรือหาตัวจำเลยไม่พบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยจึงชอบด้วยบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65เมื่อจำเลยยังมีทนายอยู่ จึงไม่มีเหตุที่จะขอเลื่อนคดีเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ ทั้งการที่ศาลชั้นต้นได้กำชับในนัดก่อนแล้วว่าหากพยานปากใดไม่มาศาล ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อไม่มีพยานจำเลยมาศาลเลย ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานจำเลยเสียได้ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดจากโจทก์ 200,000 บาท และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินในเช็คและดอกเบี้ยรวม 270,363 บาทเท่านั้น ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้กู้เงินและรับเงิน 400,000 บาทไปจากโจทก์หรือไม่ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้และรับเงิน400,000 บาท จากโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ค่าธรรมเนียมซึ่งผู้อุทธรณ์ต้องนำมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 หมายความรวมถึงค่าทนายความด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตเลื่อนคดีและการงดสืบพยานเมื่อทนายจำเลยขอถอนตัว และการพิพากษาตามสัญญาแลกเช็ค
จำเลยขอเลื่อนการสืบพยานจำเลยมาแล้ว 1 ครั้ง อ้างว่าทนายจำเลยป่วย ศาลอนุญาตโดยกำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาสืบให้พร้อม ถ้าพยานปากใดไม่มาถือว่าไม่ติดใจสืบ ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยมอบฉันทะให้ ป. มายื่นคำร้องว่าทนายจำเลยขอถอนตัวจากการเป็นทนายให้จำเลย และขอเลื่อนคดีไปเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ โดยไม่ปรากฏว่าการขอถอนตัวจากการเป็นทนายได้แจ้งให้ตัวจำเลยทราบหรือหาตัวจำเลยไม่พบ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ทนายถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลย จึงชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 เมื่อจำเลยยังมีทนายอยู่ จึงไม่มีเหตุที่จะขอเลื่อนคดีเพื่อให้จำเลยหาทนายใหม่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นได้กำชับในนัดก่อนแล้วว่า หากพยานปากใดไม่มาศาล ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อไม่มีพยานจำเลยมาศาลเลยศาลชั้นต้นจึงงดสืบพยานจำเลยเสียได้
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินลดจากโจทก์ 200,000 บาท และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินในเช็คและดอกเบี้ยรวม 270,363 บาท เท่านั้น ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้กู้เงินและรับเงิน 400,000 บาทไปจากโจทก์หรือไม่ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้และรับเงิน 400,000 บาทจากโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229หมายความรวมถึงค่าทนายความด้วย ซึ่งผู้อุทธรณ์ต้องนำมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์.
ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาแลกเช็คเป็นเงินลดจากโจทก์ 200,000 บาท และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินในเช็คและดอกเบี้ยรวม 270,363 บาท เท่านั้น ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้กู้เงินและรับเงิน 400,000 บาทไปจากโจทก์หรือไม่ จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้และรับเงิน 400,000 บาทจากโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229หมายความรวมถึงค่าทนายความด้วย ซึ่งผู้อุทธรณ์ต้องนำมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: คำขอที่ไม่ชัดเจนเรื่องวิธีการบังคับคดีเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีระบุเพียงว่า ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วย มิได้ระบุโดยแจ้งชัดถึงวิธีการบังคับคดีว่าจะให้บังคับคดีด้วยวิธีการอย่างไรไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 275 ประกอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3718/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: จำเป็นต้องระบุวิธีการบังคับคดีให้ชัดเจนในคำร้อง
คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีระบุเพียงว่า ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วย มิได้ระบุโดยแจ้งชัดถึงวิธีการบังคับคดีว่าจะให้บังคับคดีด้วยวิธีการอย่างไรไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 275 ประกอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 15.