พบผลลัพธ์ทั้งหมด 640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ โดยไม่สมเหตุผล ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตและถือว่าจำเลยไม่นำสืบ
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ศาลได้อนุญาตให้เลื่อนคดีตามคำขอของจำเลยมาแล้ว 3 นัด โดยนัดที่ 3 ศาลได้กำชับไม่ให้จำเลยขอเลื่อนคดีอีก ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดที่ 4 จำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าติดธุรกิจสำคัญเกี่ยวกับการค้าที่ต่างจังหวัดเช่นเดียวกับนัดที่ 3 ทั้ง ๆ ที่ศาลได้กำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยไว้ล่วงหน้านานพอสมควร จำเลยสามารถนัดทำธุรกิจการค้าซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยไม่ให้ตรงกับวันที่ศาลนัดได้แต่จำเลยไม่กระทำ ข้ออ้างของจำเลยไม่ใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า ศาลชอบที่จะไม่ให้จำเลยเลื่อนคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุจำเป็น อาจถูกมองเป็นการประวิงคดี ศาลมีสิทธิไม่อนุญาต
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยขอเลื่อนคดี 3 นัดศาลอนุญาต นัดที่ 4 จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดธุระสำคัญเกี่ยวกับการค้าที่ต่างจังหวัดเช่นเดียวกับนัดที่ 3 ซึ่งศาลกำชับมิให้ขอเลื่อนคดี ดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยไม่ใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า ศาลไม่ให้จำเลยอื่นเลื่อนคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1927/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุจำเป็น ศาลมีสิทธิไม่อนุญาตและถือว่าจำเลยไม่นำสืบพยานได้
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยขอเลื่อนคดี 3 นัดศาลอนุญาต นัดที่ 4 จำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดธุระสำคัญเกี่ยวกับการค้าที่ต่างจังหวัดเช่นเดียวกับนัดที่ 3 ซึ่งศาลกำชับมิให้ขอเลื่อนคดี ดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยไม่ใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ พฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า ศาลไม่ให้จำเลยอื่นเลื่อนคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาสร้างซื้อขายและการชดใช้ค่าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินหลังเลิกสัญญา
การที่โจทก์ผู้จะขายได้มอบตึกแถวและที่ดินที่จะขายให้แก่จำเลยผู้จะซื้อตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้นเป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและเป็นผลให้จำเลยได้ใช้ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันได้แก่การที่โจทก์ยอมให้ใช้ทรัพย์ตามป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม เมื่อสัญญาเลิกกันจำเลยจะต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้ตึกแถวและที่ดินนั้นแม้โจทก์จะฟ้องเรียกเป็นค่าเสียหายแต่ตามสภาพเป็นการชดใช้ค่าที่ยอมให้ใช้ทรัพย์ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับการชดใช้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาจะซื้อจะขายและการชดใช้ค่าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่โอนให้ครอบครองก่อนชำระราคาครบถ้วน
การที่โจทก์ผู้จะขายได้มอบตึกแถวและที่ดินที่จะขายให้แก่จำเลย ผู้จะซื้อตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้น เป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและเป็นผลให้จำเลยได้ใช้ทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา อันได้แก่การที่โจทก์ยอมให้ใช้ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสามเมื่อสัญญาเลิกกันจำเลยจะต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้ตึกแถวและที่ดินนั้น แม้โจทก์จะฟ้องเรียกเป็นค่าเสียหาย แต่ตามสภาพเป็นการชดใช้ค่าที่ยอมให้ใช้ทรัพย์ศาลชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์ได้รับการชดใช้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย และสิทธิเรียกร้องค่าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่ถูกครอบครอง
จำเลยทำสัญญาจะซื้อตึกแถวพร้อมที่ดินกับโจทก์ โดยผ่อนชำระราคาเป็นงวด การที่โจทก์ส่งมอบตึกแถวและที่ดินให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันสัญญาเป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและเป็นผลให้จำเลยได้ใช้ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาอันได้แก่การที่โจทก์ยอมให้จำเลยใช้ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจะต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้ตึกแถวและที่ดินนั้น แม้โจทก์จะฟ้องเรียกเป็นค่าเสียหาย แต่ตามสภาพเป็นการชดใช้ค่าที่ยอมให้ใช้ทรัพย์ ศาลก็พิพากษาให้โจทก์ได้รับการชดใช้ได้ ส่วนโจทก์ก็จะต้องคืนเงินค่าตึกแถวและที่ดินที่ได้รับชำระไว้แล้ว ซึ่งเป็นหนี้ต่างตอบแทนและเข้าเกณฑ์ที่จะหักกลบลบกันได้ตามที่โจทก์ขอมาในคำฟ้อง จึงให้จำเลยชดใช้ค่าใช้ตึกแถวนับแต่วันที่จำเลยเข้าครอบครอง โดยหักกลบลบหนี้กับเงินที่จำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังคำรับของจำเลยเป็นหลักฐาน แม้โจทก์มิได้เสียค่าอ้างเอกสาร
โจทก์ฟ้องคดีโดยแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทกับใบคืนเช็คมาท้ายฟ้อง จำเลยให้การและนำสืบยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารได้ปฏเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสาร เช็คและใบคืนเช็คพิพาทศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับชำระหนี้ตามเช็ค โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าอ้างเอกสาร หากจำเลยยอมรับเป็นผู้สั่งจ่ายและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
โจทก์ฟ้องคดีโดยแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทกับใบคืนเช็คมาท้ายฟ้อง จำเลยให้การและนำสืบยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง และไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าธนาคารมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนี้แม้โจทก์ไม่ได้เสียค่าจ้างเอกสารเช็คและใบคืนเช็คพิพาท ศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยมีผลผูกพัน แม้โจทก์มิได้เสียค่าอ้างเอกสาร เช็คคืนเป็นหลักฐาน
โจทก์ฟ้องคดีโดยแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทกับใบคืนเช็คมาท้ายฟ้อง จำเลยให้การและนำสืบยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารได้ปฏเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนี้ แม้โจทก์ไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสาร เช็คและใบคืนเช็คพิพาทศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1721/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ: การคำนวณค่าเสียหายและดอกเบี้ยจากความผิดนัดชำระหนี้
ค่าเสียหายที่โจทก์ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไม่ได้ราคาเท่ากับราคาค่าเช่าซื้อ ไม่ใช่เงินที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระตาม ความหมายของ"ค้างเงินใด ๆ แก่เจ้าของ" ตาม สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยข้อที่ 9 ที่ว่า "ถ้า ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือค้างเงินใด ๆแก่เจ้าของ ผู้เช่าซื้อยอมเสียดอกเบี้ย สำหรับเงินที่ค้างนับแต่วันผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี..." ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้ ดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีคงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ใช้ ดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เท่านั้น
สัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ที่ว่า "...แต่ ถ้า เจ้าของได้ ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ไปแล้ว ยังไม่คุ้ม ราคาค่าเช่าซื้อที่ต้อง ชำระทั้งหมดตาม สัญญานี้กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบ" นั้น เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์ขอมาสูงเกินไปศาลก็ชอบที่จะลดเบี้ยปรับลงได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
สัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ที่ว่า "...แต่ ถ้า เจ้าของได้ ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ไปแล้ว ยังไม่คุ้ม ราคาค่าเช่าซื้อที่ต้อง ชำระทั้งหมดตาม สัญญานี้กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบ" นั้น เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์ขอมาสูงเกินไปศาลก็ชอบที่จะลดเบี้ยปรับลงได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383