พบผลลัพธ์ทั้งหมด 640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เสรีภาพแสดงความคิดเห็นของรัฐมนตรี – การวิจารณ์การสั่งคดีของอัยการ
การที่จำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า "การที่อัยการเขต 8(หมายถึง ตัว โจทก์) สั่งกลับคำสั่งของอัยการจังหวัดไม่ให้ฟ้องนาย โสภณกิจประสาน เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากก่อให้เกิดบรรทัดฐานเช่นนี้ จะทำให้เกิดการทุจริตกันอย่างใหญ่โต..."และว่า จำเลยจะสอบสวนกรมอัยการซึ่ง ทุก วันนี้เละเทะจนไม่น่าจะปล่อยปละละเลยอีกต่อไปได้ ประเด็นที่จะสอบคืออัยการพิเศษประจำเขต 8 สั่งไม่ฟ้องนาย โสภณ ไม่รู้ว่าไปสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนที่ไหนมาสั่งคดีสำคัญ และเรื่องนี้จำเลยจะจัดการสะสาง ทั้งตัว เล็กตัว ใหญ่ และว่า จำเลยรู้ว่ามีการรับเงินรับทองนั้น เป็นการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์สั่งไม่ฟ้องนาย โสภณกิจประสานแม้โจทก์จะอ้างว่ามีอำนาจสั่งไม่ฟ้องนาย โสภณ แต่ การสั่งไม่ฟ้องมีพฤติการณ์ที่ทำให้น่าสงสัยหลายประการ และจำเลยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับการร้องเรียนจากภริยาและมารดาผู้ตายว่า การที่โจทก์มีคำสั่งดังกล่าวเป็นการ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยเห็นว่าพฤติการณ์ในการสั่งไม่ฟ้องเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการไม่ชอบประกอบกับเป็นคดีที่มีอิทธิพลซึ่งประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชนให้ความสนใจ เมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ความเห็นของจำเลยจำเลยก็ให้สัมภาษณ์ไปตาม ความคิดเห็นของตน แม้ถ้อยคำที่ใช้ จะรุนแรงอยู่บ้าง แต่ก็เห็นได้ว่า ได้แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและติ ชมด้วย ความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะ ที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน และในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงกระทำเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงไม่เป็นความผิดฐาน หมิ่นประมาทและดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฟ้อง คดีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องเอง และต้องห้ามฎีกาโดย มาตรา 218219 และ 220 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ถ้า อธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้ วินิจฉัยก็รับฎีกาไว้พิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559-561/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประโยชน์จากกฎหมายพิเศษต้องยกขึ้นต่อสู้คดีตั้งแต่แรก หากไม่ทำจะใช้ไม่ได้ในชั้นบังคับคดี
โดยปกติการเช่าทรัพย์ย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากคู่ความจะอ้างความคุ้มครองตาม กฎหมายพิเศษ ก็ต้อง ยก ขึ้นต่อสู้ คดี เพราะตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ บัญญัติให้จำเลยแสดงโดย แจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับ หรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ในคดีทีจำเลยฟ้องขอให้โจทก์เลิกใช้ ทรัพย์ของจำเลยตาม สัญญาเช่าโจทก์ในฐานะ ที่เป็นจำเลยมีสิทธิหรือได้รับความคุ้มครองที่จะมิให้ต้อง เลิกใช้ ทรัพย์ที่เช่า ตาม พระราชบัญญัติการเช่า ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ โจทก์ต้อง ยกขึ้นแสดงรวมทั้งเหตุผล เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตาม กฎหมายพิเศษจนศาลวินิจฉัยคดีไปและคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะมายกกฎหมายพิเศษขึ้นกล่าวอ้างในชั้น บังคับคดีอีกหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559-561/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างสิทธิภายใต้กฎหมายพิเศษต้องยกขึ้นต่อสู้คดีตั้งแต่แรก หากไม่ทำจะใช้ไม่ได้ในชั้นบังคับคดี
การเช่าทรัพย์อยู่ในบังคับแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องยกขึ้นต่อสู้คดี เพราะตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น กรณีจำเลยฟ้องขอให้โจทก์เลิกใช้ทรัพย์ของจำเลยตามสัญญาเช่า โจทก์มีสิทธิได้รับความคุ้มครองที่จะมิให้ต้องเลิกใช้ทรัพย์ที่เช่าตาม พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ต้องยกขึ้นแสดงรวมทั้งเหตุผล เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษจนศาลวินิจฉัยคดีไป และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะยกกฎหมายพิเศษขึ้นกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559-561/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อกฎหมายพิเศษหลังคดีถึงที่สุด การอ้างสิทธิเช่าที่ดินในชั้นบังคับคดีเป็นไปไม่ได้ หากมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นพิจารณา
โดยปกติการเช่าทรัพย์ย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากผู้ใดจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องยกขึ้นต่อสู้คดี เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยแจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ดังนี้เมื่อจำเลยฟ้องขอให้โจทก์เลิกใช้ทรัพย์ของจำเลยตามสัญญาเช่าโจทก์มีสิทธิ หรือได้รับความคุ้มครองที่จะมิให้ต้องเลิกใช้ทรัพย์ที่เช่า ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524โจทก์ต้องยกขึ้นแสดงรวมทั้งเหตุผล เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษจนศาลวินิจฉัยคดีไป และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะมายกกฎหมายพิเศษขึ้นกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559-561/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกกฎหมายพิเศษในคดีเช่าทรัพย์ต้องแจ้งในคำให้การ หากไม่แจ้งจะยกขึ้นในชั้นบังคับคดีไม่ได้
โดยปกติการเช่าทรัพย์ย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากคู่ความจะอ้างความคุ้มครองตาม กฎหมายพิเศษ ก็ต้อง ยก ขึ้นต่อสู้ คดี เพราะตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดย แจ้งชัดในคำให้การว่าจำเลยยอมรับ หรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ในคดีทีจำเลยฟ้องขอให้โจทก์เลิกใช้ ทรัพย์ของจำเลยตาม สัญญาเช่าโจทก์ในฐานะ ที่เป็นจำเลยมีสิทธิหรือได้รับความคุ้มครองที่จะมิให้ต้อง เลิกใช้ ทรัพย์ที่เช่า ตาม พระราชบัญญัติการเช่า ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ต้อง ยกขึ้นแสดงรวมทั้งเหตุผล เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตาม กฎหมายพิเศษจนศาลวินิจฉัยคดีไปและคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะมายกกฎหมายพิเศษขึ้นกล่าวอ้างในชั้น บังคับคดีอีกหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน, ผู้ค้ำประกัน, ดอกเบี้ย, ผิดนัดชำระหนี้, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
หนี้ของจำเลยเป็นหนี้ตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่ง ถึง กำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋ว เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตาม วันแห่งปฏิทิน คือในวันที่ครบกำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ตาม ตั๋วเงินดังกล่าว จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดย ไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๔ วรรคสอง และต้อง รับผิดใช้ดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันที่ครบกำหนดตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ ทันทีโดย มิต้องบอกกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๖
สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ย ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๘ซึ่ง ความหมายว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน๕๐๐,๐๐๐ บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้อง รับผิดในดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันครบกำหนดตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันเดียวกันด้วย.
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ ทันทีโดย มิต้องบอกกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๖
สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ย ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๘ซึ่ง ความหมายว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน๕๐๐,๐๐๐ บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้อง รับผิดในดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันครบกำหนดตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันเดียวกันด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน, การผิดนัดชำระหนี้, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, อัตราดอกเบี้ย
หนี้ของจำเลยเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋ว เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือในวันที่ครบกำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ตามตั๋วเงินดังกล่าว จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204วรรคสอง และต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686
สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน 500,000 บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน 500,000 บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้องรับผิดในดอกเบี้ยตั้งแต่วันครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีตั้งแต่วันเดียวกันด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686
สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน 500,000 บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน 500,000 บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้องรับผิดในดอกเบี้ยตั้งแต่วันครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีตั้งแต่วันเดียวกันด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน: ความรับผิดดอกเบี้ยของผู้ค้ำประกันนับแต่วันครบกำหนดตั๋ว
หนี้ของจำเลยเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋ว เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือในวันที่ครบกำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ตามตั๋วเงินดังกล่าว จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง และต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 686 สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน 500,000 บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18ซึ่งหมายความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน500,000 บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้องรับผิดในดอกเบี้ยตั้งแต่วันครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันเดียวกันด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน, การผิดนัดชำระหนี้, และความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
หนี้ของจำเลยเป็นหนี้ตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่ง ถึง กำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋ว เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตาม วันแห่งปฏิทิน คือในวันที่ครบกำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ตาม ตั๋วเงินดังกล่าว จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดย ไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง และต้อง รับผิดใช้ดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันที่ครบกำหนดตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ ทันทีโดย มิต้องบอกกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน 500,000 บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ย ให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18ซึ่ง ความหมายว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน500,000 บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้อง รับผิดในดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันครบกำหนดตาม ตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย ตั้งแต่ วันเดียวกันด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคบคิดฉ้อฉลในการรับโอนเช็ค: ต้องเกิดขึ้นขณะรับโอนเพื่อยกเว้นความรับผิดของผู้สั่งจ่าย
การคบคิดกันฉ้อฉลหรือความไม่สุจริตอันจะทำให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ นั้น จะต้องเกิดขึ้นขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็ค.