พบผลลัพธ์ทั้งหมด 711 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศผูกพันได้ หากไม่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อย
เจ้าหนี้กับลูกหนี้มีข้อสัญญาว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาให้ใช้ กฎหมายของประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์ มาบังคับแก่กรณีและดำเนินกระบวนพิจารณาทางอนุญาโตตุลาการในประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด ไม่ถูกต้องตาม ขั้นตอนขัดต่อ กฎหมายหรือขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จึงผูกพันลูกหนี้เจ้าหนี้นำมาฟ้องบังคับในศาลไทยได้โดย ไม่จำต้องให้ศาลไทยกลับไปวินิจฉัยอีกว่าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เจ้าหนี้จึงอาศัยคำชี้ขาดทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองได้ .
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศผูกพันลูกหนี้ และบังคับได้ในไทย หากไม่ขัดกฎหมาย
เจ้าหนี้กับลูกหนี้มีข้อสัญญาว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาให้ใช้กฎหมายของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาบังคับแก่กรณีและดำเนินกระบวนพิจารณาทางอนุญาโตตุลาการในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์จึงผูกพันลูกหนี้เจ้าหนี้นำมาฟ้องบังคับในศาลไทยได้โดยไม่จำต้องให้ศาลไทยกลับไปวินิจฉัยอีกว่าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เจ้าหนี้จึงอาศัยคำชี้ขาดทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ: ผลผูกพันและขอบเขตการบังคับใช้
เจ้าหนี้กับลูกหนี้มีข้อสัญญาว่า เมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาให้ใช้กฎหมายของประเทศ สาธารณรัฐสิงคโปร์มาบังคับแก่กรณี และดำเนินกระบวนพิจารณาทางอนุญาโตตุลาการในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อการดำเนินกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ปรากฏว่ามีข้อผิดพลาด ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแห่งประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์จึงผูกพันลูกหนี้ เจ้าหนี้นำมาฟ้องบังคับในศาลไทยได้โดยไม่จำต้องให้ศาลไทยกลับไปวินิจฉัยอีกว่าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เจ้าหนี้จึงอาศัยคำชี้ขาดทางอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาแท้จริงนำเข้า: ราคาสำแดงครั้งสุดท้ายก่อนพิพาทเป็นเกณฑ์ หากราคาลดลงผิดปกติ ศาลไม่รับฟังเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล
โจทก์นำเข้าฝาขวดอลูมิเนียมชนิด 1.5 และ 2.5 ออนซ์ จากบริษัทผู้จำหน่ายในต่างประเทศ ครั้งสุดท้ายก่อนเกิดกรณีพิพาทได้สำแดงราคาไว้ 104.18 และ 110.80 เหรียญสิงคโปร์ ต่อหนึ่งพันฝา ซึ่งการประเมินราคาดังกล่าวไม่มีปัญหาระหว่างโจทก์และจำเลย จึงต้องถือว่าราคาที่สำแดงไว้ในคราวสุดท้ายก่อนเกิดกรณีพิพาทโจทก์จำเลยยอมรับว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ต่อมาโจทก์นำเข้าฝาขวดอลูมิเนียมทั้งสองขนาดดังกล่าวอันเป็นครั้งพิพาทรวม 9 ครั้ง ระยะเวลาที่นำเข้าแต่ละครั้งห่างจากที่โจทก์นำเข้าครั้งสุดท้ายประมาณ 5 ถึง 11 เดือนโดยโจทก์สำแดงราคาสินค้าเท่ากันทุกครั้ง คือ ชนิด 1.5 และ 2.5 ออนซ์ราคา 62.80 และ 78.10 เหรียญสิงคโปร์ต่อหนึ่งพันฝา ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงมากกว่าปกติ โดยไม่มีข้อเท็จจริงที่จะชี้ ให้เห็นว่าราคาที่ลดลงมานั้นเป็นราคาแท้จริงในท้องตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปจากราคาเดิมกรณีจึงต้องถือว่าราคาแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่โจทก์นำเข้าในคราวที่เป็นกรณีพิพาทกันในคดีนี้มีราคาเท่ากับนำเข้าครั้งสุดท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย พิจารณาจากเจตนาลูกหนี้และราคาซื้อขายที่สมเหตุสมผล
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ทำการโอนที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านภายในสามเดือนก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ตาม แต่การโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นการโอนที่สืบเนื่องมาจากลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวให้ผู้คัดค้านไว้ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องให้ลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายประมาณ 2 ปีเศษ โดยลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 จะต้องโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านเมื่อสร้างเสร็จ ผู้คัดค้านชำระราคาแล้ว 200,000 บาท ยังเหลืออีก 200,000 บาท แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 นำที่ดินและตึกแถวไปจำนองบริษัท เครดิตฟองซิเอร์เอเซีย จำกัด ไว้ และไม่สามารถไถ่ถอนจำนองมาเพื่อโอนให้แก่ผู้คัดค้านได้ ฝ่ายผู้คัดค้านจึงได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 300,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนอง ทำให้ผู้คัดค้านต้องเสียค่าโอนเกินกว่าที่สัญญากำหนดถึง 100,000 บาท การโอนดังกล่าวเป็นการโอนตามสัญญาที่ลูกหนี้จำต้องโอนให้ผู้คัดค้านอยู่แล้ว ซึ่งราคาที่ดินและตึกแถวที่ผู้คัดค้านรับโอนนั้นก็ใกล้เคียงกับราคาที่เจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ของกรมบังคับคดีประเมินไว้ในปี 2529 เป็นเงิน 545,300 บาท แต่ ปรากฏว่าผู้คัดค้านรับโอนในปี 2524 ก่อนการประเมินถึง 5 ปี แสดงว่าราคาขณะรับโอนนั้นผู้รับโอนได้ รับโอนในราคาที่สูงกว่าปกติ พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงใดส่อแสดงว่าลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนตาม มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย: สัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้ก่อนฟ้อง ไม่ถือเป็นการโอนเพื่อเจตนาให้ได้เปรียบเจ้าหนี้
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ทำการโอนที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านภายในสามเดือน ก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ตามแต่ การโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นการโอนที่สืบเนื่องมาจากลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ได้ ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวให้ผู้คัดค้านไว้ตั้งแต่ ก่อนโจทก์ฟ้องให้ลูกหนี้ (จำเลย)ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายประมาณ 2 ปีเศษ โดย ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1จะต้อง โอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านเมื่อสร้างเสร็จ ผู้คัดค้านชำระราคาแล้ว 200,000 บาท ยังเหลืออีก 200,000 บาท แต่ เมื่อสร้างเสร็จแล้วลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 นำที่ดินและตึกแถวไปจำนองบริษัท เครดิตฟองซิเอร์เอเซีย จำกัด ไว้ และไม่สามารถไถ่ถอนจำนองมาเพื่อโอนให้แก่ผู้คัดค้านได้ ฝ่ายผู้คัดค้านจึงได้ ชำระหนี้แทนลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1300,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนอง ทำให้ผู้คัดค้านต้อง เสียค่าโอนเกินกว่าที่สัญญากำหนดถึง 100,000 บาทการโอนดังกล่าวเป็นการโอนตาม สัญญาที่ลูกหนี้จำต้องโอนให้ผู้คัดค้านอยู่แล้ว ซึ่ง ราคาที่ดินและตึกแถวที่ผู้คัดค้านรับโอนนั้นก็ใกล้เคียงกับราคาที่เจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ของกรมบังคับคดีประเมินไว้ในปี 2529 เป็นเงิน 545,300 บาท แต่ ปรากฏว่าผู้คัดค้านรับโอนในปี 2524 ก่อนการประเมินถึง 5 ปี แสดงว่าราคาขณะรับโอนนั้นผู้รับโอนได้ รับโอนในราคาที่สูงกว่าปกติ พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงใด ส่อแสดงว่าลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนตาม มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ .
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีจากราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าราคาตลาด เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจกำหนดราคาตามราคาที่พึงได้รับ
ค. โอนที่ดินตามฟ้องทั้งสี่แปลงชำระหนี้โจทก์ โดยที่ดิน 3 แปลงแรกตีใช้หนี้ 2,971,500 บาท ที่ดินแปลงที่ 4 ตีใช้หนี้ 731,000 บาท ซึ่งเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามปกติ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจกำหนดราคาขายที่ดินทั้งสี่แปลงตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิ ค. ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในวันโอนว่าที่ดิน 3 แปลงแรกตกลงโอนในราคา 4,700,000 บาท และแปลงที่ 4 ตกลงโอนในราคา 2,000,000 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่จึงกำหนดเอาราคาที่ ค. แจ้งเป็นราคา ที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอนนั้น ซึ่งเป็นการชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิแล้ว เพราะราคาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรด้วยได้กำหนดนั้นไม่เกินจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีจากราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าราคาตลาด เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจกำหนดราคาตามปกติได้
ค. โอนที่ดินตามฟ้องทั้งสี่แปลงชำระหนี้โจทก์ โดยที่ดิน3 แปลงแรกตีใช้หนี้ 2,971,500 บาท ที่ดินแปลงที่ 4 ตีใช้หนี้731,000 บาท ซึ่งเป็นการโอนโดยมีค่าตอบแทนต่ำกว่าราคาที่พึงได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามปกติ เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจกำหนดราคาขายที่ดินทั้งสี่แปลงตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิ ค. ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในวันโอนว่าที่ดิน 3 แปลงแรกตกลงโอนในราคา 4,700,000 บาท และแปลงที่ 4 ตกลงโอนในราคา 2,000,000 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่จึงกำหนดเอาราคาที่ ค. แจ้งเป็นราคา ที่พึงได้รับจากการขายตามปกติตามราคาในวันที่โอนนั้น ซึ่งเป็นการชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิแล้ว เพราะราคาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรด้วยได้กำหนดนั้นไม่เกินจำนวนทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงผู้เยาว์เพื่อค้าประเวณีถือเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ
จำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงนางสาว ป. กับนางสาว จ.ผู้เยาว์อ้างว่าจะพาไปทำงานแต่กลับพาไปขายให้เป็นหญิงโสเภณี ดังนี้เห็นได้ว่า ที่จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ทั้งสองก็โดยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน แม้จะพาผู้เยาว์ทั้งสองไปในครั้งเดียวคราวเดียวก็เป็นการกระทำต่อผู้เยาว์แต่ละคนโดยเฉพาะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ จำเลยมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารรวม 2 กระทง ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดต่อผู้เยาว์หลายกรรมต่างวาระ ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เยาว์
จำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงนางสาว ป. กับนางสาว จ. ผู้เยาว์อ้างว่าจะพาไปทำงานแต่กลับพาไปขายให้เป็นหญิงโสเภณี ดังนี้ เห็นได้ว่า ที่จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ทั้งสองก็โดยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน แม้จะพาผู้เยาว์ทั้งสองไปในครั้งเดียวคราวเดียวก็เป็นการกระทำต่อผู้เยาว์แต่ละคนโดยเฉพาะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ จำเลยมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารรวม 2 กระทง
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน