พบผลลัพธ์ทั้งหมด 711 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดต่อผู้เยาว์หลายกรรมต่างวาระ ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เยาว์
จำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงนางสาว ป. กับนางสาว จ. ผู้เยาว์อ้างว่าจะพาไปทำงานแต่กลับพาไปขายให้เป็นหญิงโสเภณี ดังนี้ เห็นได้ว่า ที่จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ทั้งสองก็โดยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน แม้จะพาผู้เยาว์ทั้งสองไปในครั้งเดียวคราวเดียวก็เป็นการกระทำต่อผู้เยาว์แต่ละคนโดยเฉพาะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ จำเลยมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารรวม 2 กระทง
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคสองกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2534/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานขายและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ เป็นกรรมเดียว
พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" ว่าหมายรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย เพราะฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน จำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 1 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกัน ตรวจค้นได้จากจำเลยอีก 15 เม็ด วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 16 เม็ด จึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2534/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานขายและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ถือเป็นกรรมเดียว แม้ตรวจค้นพบของกลางเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" ว่าหมายรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย เพราะฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันจำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 1 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันตรวจค้นได จากจำเลยอีก 15 เม็ด วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 16 เม็ด จึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2534/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การขายและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์เป็นความผิดกรรมเดียว
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" ว่าหมายถึง จำหน่าย จ่ายแจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย เพราะฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตามพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันจำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 1 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันตรวจค้นได้จากจำเลยอีก 15 เม็ดวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 16 เม็ด จึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2534/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานขายและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ ถือเป็นกรรมเดียว
พระราชบัญญัติ ญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 ได้ วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" ว่าหมายรวมถึง จำหน่ายจ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย เพราะฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายตาม พระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันจำเลยขายวัตถุออกฤทธิ์ชนิดเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ 1 เม็ด และต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันตรวจค้นได้ จากจำเลยอีก 15 เม็ด วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวทั้ง 16 เม็ด จึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวคือการขาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2507/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นตามคำสั่ง: หน้าที่ชำระหนี้แม้ไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับตลาดหลักทรัพย์
โจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องตามคำสั่งซื้อของจำเลย และโจทก์ออกเงินค่าหุ้นแทนจำเลยไป แม้จะไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับตลาดหลักทรัพย์มาเป็นพยาน จำเลยก็มีหน้าที่ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่จะต้องชำระเงินคืนให้โจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2507/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นตามคำสั่ง แม้ไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับตลาดหลักทรัพย์ ก็มีผลผูกพันตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด
โจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องตามคำสั่งซื้อของจำเลยและโจทก์ออกเงินค่าหุ้นแทนจำเลยไป แม้จะไม่มีสัญญาซื้อขายหุ้นฉบับตลาดหลักทรัพย์มาเป็นพยาน จำเลยก็มีหน้าที่ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดซื้อขายหลักทรัพย์ที่จะต้องชำระเงินคืนให้โจทก์ตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ภาษีหลังล้มละลาย: เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องได้ แม้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังพิทักษ์ทรัพย์
บริษัทลูกหนี้ถูก พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ ยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ในระหว่างนั้น ย่อมต้อง มีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มิได้กำหนดมิให้ฟ้องเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นโดย ผลของกฎหมายหลังถูก พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดซึ่ง เป็นหนี้ที่ไม่สามารถขอรับชำระหนี้ได้ ภายในเวลาตาม ที่พระราชบัญญัติล้มละลายฯ กำหนดไว้ การเกิดหนี้ขึ้นโดย ผลของกฎหมายเช่นนี้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องดำเนินการแทนลูกหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับภาษีรายนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้รับผิดได้ .
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีบำรุงท้องที่หลังล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่ชำระหนี้ตามกฎหมาย
บริษัท ฉ.ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ด ขาดวันที่ 27 กุมภาพันธ์2530 ประกาศหนังสือพิมพ์ลงวันที่ 24 มีนาคม 2530ประกาศราชกิจจานุเบกษาวันที่ 7 เมษายน 2530 บริษัท ฉ. เป็นหนี้ค่าภาษีบำรุงท้องที่ ปี พ.ศ. 2531 ซึ่งเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังบริษัท ฉ.ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ด ขาดแล้ว โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ ไม่ทัน แต่ พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ฯ มาตรา 7กำหนดให้ผู้เป็นเจ้าของที่ดินในวันที่ 1 มกราคม ของปีใด มีหน้าที่สำหรับปีนั้นแสดงว่าผู้เป็นเจ้าของที่ดินต้องเสียภาษีที่ดินทุกปีเมื่อบริษัท ฉ. ยังเป็นเจ้าของที่ดินก็ต้องมีหน้าที่เสียภาษีกรณีนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 22 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเข้าดำเนินการชำระหนี้ภาษี เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โต้แย้งสิทธิของโจทก์ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้รับผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2459/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีบำรุงท้องที่หลังล้มละลาย: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่ชำระแทนลูกหนี้ แม้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นหลังพิทักษ์ทรัพย์
บริษัทลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ในระหว่างนั้น ย่อมต้องมีหน้าที่เสียภาษีบำรุงท้องที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มิได้กำหนดมิให้ฟ้องเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายหลังถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่สามารถขอรับชำระหนี้ได้ภายในเวลาตามที่พระราชบัญญัติล้มละลายฯ กำหนดไว้ การเกิดหนี้ขึ้นโดยผลของกฎหมายเช่นนี้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องดำเนินการแทนลูกหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการโต้แย้งสิทธิของโจทก์เกี่ยวกับภาษีรายนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้รับผิดได้