พบผลลัพธ์ทั้งหมด 711 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือแม้จำนองถูกเพิกถอน เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
หนังสือสัญญาจำนองมีข้อความระบุว่าให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินจำนวน 300,000 บาท แม้ต่อมาสัญญาจำนองจะถูกเพิกถอนก็ไม่กระทบกระเทือนถึงข้อความที่ระบุไว้เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ถือได้ว่าการกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 92
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แม้จำนองถูกเพิกถอน เจ้าหนี้ยังขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้
หนังสือสัญญาจำนองมีข้อความระบุว่าให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินจำนวน 300,000 บาท แม้ต่อมาสัญญาจำนองจะถูกเพิกถอนก็ไม่กระทบกระเทือนถึงข้อความที่ระบุไว้เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ถือได้ว่าการกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 92.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษหนักขึ้นในคดีปล้นทรัพย์เฉพาะผู้มีหรือใช้อาวุธปืน แม้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีหรือใช้อาวุธปืนเท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักทุกคน คนร้ายคนหนึ่งซึ่งเป็นพวกของจำเลยมีและใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสองไม่ได้มีหรือใช้อาวุธปืนด้วย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 340 ตรี เมื่อการปล้นทรัพย์ไม่สำเร็จ จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษหนักขึ้นเฉพาะผู้มีอาวุธปืนในคดีปล้นทรัพย์ ผู้ร่วมกระทำความผิดที่ไม่ใช้อาวุธไม่ได้รับโทษหนัก
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีหรือใช้อาวุธปืนเท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักทุกคน คนร้ายคนหนึ่งซึ่งเป็นพวกของจำเลยมีและใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสองไม่ได้มีหรือใช้อาวุธปืนด้วย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 340 ตรีเมื่อการปล้นทรัพย์ไม่สำเร็จ จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษหนักขึ้นเฉพาะผู้มีหรือใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์ ผู้ร่วมกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องได้รับโทษหนักไปด้วย
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีหรือใช้อาวุธปืนเท่านั้น มิใช่ว่าผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักทุกคน คนร้ายคนหนึ่งซึ่งเป็นพวกของจำเลยมีและใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสองไม่ได้มีหรือใช้อาวุธปืนด้วย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 340 ตรี เมื่อการปล้นทรัพย์ไม่สำเร็จ จำเลยทั้งสองคงมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา80.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษี: ผู้มีอำนาจชี้ขาดไม่ชี้ขาดภายในเวลาอันสมควร มิได้ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขึ้นมา
กรณีที่ผู้มีอำนาจชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 31 ไม่ให้คำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายในเวลาอันสมควร ผู้รับประเมินมีความชอบธรรมที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกเงินค่าภาษีซึ่งผู้รับประเมินถือว่าไม่ควรต้องเสียคืนได้ โดยไม่จำต้องรอให้มีคำชี้ขาดก่อน
โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษนับแต่วันยื่นคำร้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษนับแต่วันยื่นคำร้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษี: การพิจารณาคำร้องใหม่และการไม่ชี้ขาดภายในเวลาอันสมควร
กรณีที่ผู้มีอำนาจชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 31 ไม่ให้คำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายในเวลาอันสมควร ผู้รับประเมินมีความชอบธรรมที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกเงินค่าภาษีซึ่งผู้รับประเมินถือว่าไม่ควรต้องเสียคืนได้ โดยไม่จำต้องรอให้มีคำชี้ขาดก่อน
โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษนับแต่วันยื่นคำร้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษนับแต่วันยื่นคำร้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษี: การไม่ชี้ขาดภายในเวลาอันสมควรและการรอคำชี้ขาดก่อนฟ้อง
กรณีที่ผู้มีอำนาจชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475มาตรา 31 ไม่ให้คำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ภายในเวลาอันสมควร ผู้รับประเมินมีความชอบธรรมที่จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกเงินค่าภาษีซึ่งผู้รับประเมินถือว่าไม่ควรต้องเสียคืนได้ โดยไม่จำต้องรอให้มีคำชี้ขาดก่อน โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังที่ยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 เพื่อขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่เป็นเวลาเพียง 3 เดือนเศษนับแต่วันยื่นคำร้อง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ให้คำชี้ขาดภายในเวลาอันสมควร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินเพื่อล้มละลาย: การซื้อขายโดยใช้ชื่อผู้อื่นและการคุ้มครองผู้ซื้อสุจริต
การที่จำเลยและภริยาซื้อที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อ แล้วใส่ชื่อผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและภริยาหาใช่ของผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ ทั้งการกระทำดังกล่าวของจำเลยก็อยู่ในระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย จึงต้องด้วยมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำเฉพาะส่วนของจำเลยเสียได้ และการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทไปยังผู้คัดค้านที่ 2 ภายหลังที่มีการขอให้จำเลยล้มละลายแล้ว แม้จะฟังว่าผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ตาม ผู้คัดค้านที่ 2 ก็หาได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ แต่อย่างใดไม่ ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งกลับมาเป็นของจำเลย โดยให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนดังกล่าว หากไม่สามารถโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ ผู้คัดค้านทั้งสองต้องร่วมกันชดใช้เงินเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของราคาทรัพย์พิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย และสิทธิของผู้ซื้อสุจริต
การที่จำเลยและภริยาซื้อที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อ แล้วใส่ชื่อผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและภริยาหาใช่ของผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ทั้งการกระทำดังกล่าวของจำเลยก็อยู่ในระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย จึงต้องด้วยมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำเฉพาะส่วนของจำเลยเสียได้และการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทไปยังผู้คัดค้านที่ 2 ภายหลังที่มีการขอให้จำเลยล้มละลายแล้ว แม้จะฟังว่าผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ตาม ผู้คัดค้านที่ 2 ก็หาได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ แต่อย่างใดไม่ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งกลับมาเป็นของจำเลย โดยให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนดังกล่าวหากไม่สามารถโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ผู้คัดค้านทั้งสองต้องร่วมกันชดใช้เงินเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของราคาทรัพย์พิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่ง