พบผลลัพธ์ทั้งหมด 711 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินเพื่อล้มละลาย: สินสมรส, สิทธิของผู้สุจริต, และการชดใช้ราคาทรัพย์
การที่จำเลยและภริยาซื้อที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อ แล้วใส่ชื่อผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและภริยาหาใช่ของผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ ทั้งการกระทำดังกล่าวของจำเลยก็อยู่ในระยะเวลา 3ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย จึงต้องด้วยมาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำเฉพาะส่วนของจำเลยเสียได้ และการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทไปยังผู้คัดค้านที่ 2 ภายหลังที่มีการขอให้จำเลยล้มละลายแล้ว แม้จะฟังว่าผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ตาม ผู้คัดค้านที่ 2 ก็หาได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ แต่อย่างใดไม่ ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งกลับมาเป็นของจำเลย โดยให้ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนดังกล่าว หากไม่สามารถโอนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ ผู้คัดค้านทั้งสองต้องร่วมกันชดใช้เงินเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของราคาทรัพย์พิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัพย์สินจากการทำมาหาได้ร่วมกันของสามีภริยา แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ศาลถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม
ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยาตั้งแต่ พ.ศ. 2485มีบุตรด้วยกัน 7 คน ผู้ร้องซื้อบ้านพิพาทด้วยเงินของผู้ร้องขณะที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ยังคงอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ดังนี้ถือได้ว่าร่วมกันซื้อมา บ้านพิพาทจึงเป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้มาจากการทำมาหาได้ร่วมกันผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามสัญญาซื้อลดตั๋วเงินของห้างหุ้นส่วน โดยหุ้นส่วนผู้จัดการลงนามแทน แม้ไม่มีตราสำคัญ
จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามจำเลยที่ 1 โดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในสัญญาขายลดตั๋วเงิน มีจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญาแล้ว และเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญานั้น จำเลยที่ 3 ผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามสัญญาของหุ้นส่วนผู้จัดการ แม้ไม่มีตราสำคัญ การค้ำประกัน
จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามจำเลยที่ 1 โดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในสัญญาขายลดตั๋วเงิน มีจำเลยที่3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญาแล้ว และเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญานั้น จำเลยที่ 3 ผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน แม้ไม่มีตราสำคัญของนิติบุคคล เมื่อมีการรับเงินและชำระหนี้บางส่วน
จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามจำเลยที่ 1 โดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในสัญญาขายลดตั๋วเงิน มีจำเลยที่ 3ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วย จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญาแล้ว และเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน ดังนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ต้องผูกพันตามสัญญานั้น จำเลยที่ 3 ผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897-1898/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดในคดีล้มละลาย และผลกระทบต่อการดำเนินคดีและการอายัดทรัพย์
โจทก์อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงไม่มีสิทธิขอขยายกำหนดเวลาหรือขอรับชำระหนี้ได้อีก ข้ออ้างที่โจทก์ได้ติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตลอดมา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งการโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ให้โจทก์ทราบ และเชื่อว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะแจ้งให้ทราบนั้น เป็นแต่เพียงการเข้าใจผิดของโจทก์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น ข้ออ้างที่ว่าหนังสือพิมพ์รายวันที่ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และหนังสือราชกิจจานุเบกษาไม่มีขายในจังหวัดที่โจทก์อยู่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมควรหรือเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาได้
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 91 วรรคแรก เท่ากับคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย ศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามมาตรา135(2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งมีผลทันทีจำเลยย่อมหลุดพ้นจากการล้มละลาย หลุดพ้นจากคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด กลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่จำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีก.
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 91 วรรคแรก เท่ากับคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย ศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามมาตรา135(2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งมีผลทันทีจำเลยย่อมหลุดพ้นจากการล้มละลาย หลุดพ้นจากคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด กลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่จำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897-1898/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดในคดีล้มละลาย และผลกระทบต่อการยกเลิกการล้มละลาย
โจทก์อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงไม่มีสิทธิขอขยายกำหนดเวลาหรือขอรับชำระหนี้ได้อีก ข้ออ้างที่โจทก์ได้ติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตลอดมา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งการโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ให้โจทก์ทราบ และเชื่อว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะแจ้งให้ทราบนั้น เป็นแต่เพียงการเข้าใจผิดของโจทก์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น ข้ออ้างที่ว่าหนังสือพิมพ์รายวันที่ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และหนังสือราชกิจจานุเบกษาไม่มีขายในจังหวัดที่โจทก์อยู่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมควรหรือเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาได้
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 91 วรรคแรก เท่ากับคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย ศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามมาตรา135 (2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งมีผลทันทีจำเลยย่อมหลุดพ้นจากการล้มละลาย หลุดพ้นจากคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด กลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่จำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีก.
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 91 วรรคแรก เท่ากับคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย ศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามมาตรา135 (2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งมีผลทันทีจำเลยย่อมหลุดพ้นจากการล้มละลาย หลุดพ้นจากคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด กลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่จำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1883/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหนี้จากการซื้อขายหลักทรัพย์: ความสัมพันธ์ตัวแทน-ตัวการ และการใช้อายุความทั่วไป
การที่โจทก์ซื้อและขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรียกร้องเงินทดรองที่โจทก์ออกแทนจำเลยไปในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยหาใช่เป็นเรื่องโจทก์ประกอบการค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่น และเรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7)เพราะโจทก์จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลย โจทก์หามีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจของตนเองดำเนินการอย่างใดไม่ ดังนี้เป็นการกระทำในฐานะตัวแทนในกิจการของจำเลยซึ่งเป็นตัวการและเมื่อกฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความในกรณีเช่นนี้ไว้เป็นพิเศษ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี อันเป็นบทบัญญัติทั่วไปตาม มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1868/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้ทราบดีว่ามีหลักประกัน แต่ยื่นขอรับชำระหนี้เป็นหนี้สามัญ ไม่อาจอ้างความพลั้งเผลอเพื่อเอาประโยชน์จากหลักประกันได้
ผู้ร้องมอบอำนาจให้ ธ. เป็นผู้ดำเนินการแทนนับแต่การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแพ่ง และการนำทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดตลอดจนการนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ธ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้สามัญหรือมีหลักประกันและในวันที่ ธ.ไปให้ปากคำในชั้นสอบสวนเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็เป็นเวลาหลังจากที่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองอันเป็นหลักประกันของหนี้รายนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงต้องด้วยมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ โดยตรง ผู้ร้องไม่อาจอ้างความพลั้งเผลอมาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อหวังเอาประโยชน์จากหลักประกันต่อไปอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1868/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอรับชำระหนี้ล้มละลาย: เจตนาปกปิดหลักประกัน vs. ความพลั้งเผลอ
ผู้ร้องมอบอำนาจให้ ธ. เป็นผู้ดำเนินการแทนนับแต่การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแพ่ง และการนำทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดตลอดจนการนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ธ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้สามัญหรือมีหลักประกันและในวันที่ธ. ไปให้ปากคำในชั้นสอบสวนเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็เป็นเวลาหลังจากที่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองอันเป็นหลักประกันของหนี้รายนี้พฤติการณ์ดังกล่าวจึงต้องด้วยมาตรา 97 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ โดยตรงผู้ร้องไม่อาจอ้างความพลั้งเผลอมาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อหวังเอาประโยชน์จากหลักประกันต่อไปอีกได้