พบผลลัพธ์ทั้งหมด 533 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1957/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การแย่งสิทธิจากผู้ใช้ก่อน & การรับรองเอกสารจากต่างประเทศ
บทบัญญัติมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พุทธศักราช2474 บัญญัติไว้ตอนต้นว่า 'ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้' ซึ่งรับกับมาตรา 41(1) ที่ให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วได้ หากผู้มีส่วนได้เสียได้ยื่นคำร้องและแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของ ฉะนั้นเมื่อจำเลยเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทที่แท้จริงและได้ส่งสินค้าซึ่งมีเครื่องหมายการค้าพิพาทเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นเวลานาน ก่อนที่โจทก์จะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทดังกล่าว แม้จำเลยจะยังไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทในประเทศไทยจำเลยก็มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของโจทก์ได้ตามมาตรา 41(1)
การที่โนตารีปับลิกรับรองการมีอยู่ของหนังสือรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของจำเลยในประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องรับรองความถูกต้องไว้แล้วนั้น เทียบเคียงได้กับกรณีการเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจที่ได้ทำในเมืองต่างประเทศตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47 วรรคสาม คือไม่จำต้องมีเจ้าพนักงานสถานกงสุลไทยหรือสถานทูตไทยรับรองอีกชั้นว่าผู้รับรองเอกสารดังกล่าวเป็นโนตารีปับลิกจริง ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของบุคคลที่ลงลายมือชื่อรับรองในฐานะโนตารีปับลิกดังกล่าว ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบหักล้างหรือโต้แย้งอย่างใดแล้วศาลก็รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทนั้นได้.
การที่โนตารีปับลิกรับรองการมีอยู่ของหนังสือรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของจำเลยในประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องรับรองความถูกต้องไว้แล้วนั้น เทียบเคียงได้กับกรณีการเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจที่ได้ทำในเมืองต่างประเทศตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 47 วรรคสาม คือไม่จำต้องมีเจ้าพนักงานสถานกงสุลไทยหรือสถานทูตไทยรับรองอีกชั้นว่าผู้รับรองเอกสารดังกล่าวเป็นโนตารีปับลิกจริง ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของบุคคลที่ลงลายมือชื่อรับรองในฐานะโนตารีปับลิกดังกล่าว ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบหักล้างหรือโต้แย้งอย่างใดแล้วศาลก็รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทนั้นได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยมีด แต่บาดแผลไม่ถึงขั้นอันตรายถึงกาย ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยเอามีดพร้าวางบนคอผู้เสียหายแล้วเกิดการแย่งมีดกันทำให้บริเวณต้นคอด้านซ้ายของผู้เสียหายมีรอยถูกกระแทกด้วยของแข็งเป็นปื้นสีแดงและมีรอยถลอกเป็นเส้นยาว 3 นิ้วฟุต ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นบาดแผลถึงกับเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งมีดทำให้เกิดรอยถลอก ไม่ถึงขั้นอันตรายถึงกาย จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
จำเลยเอามีดพร้าวางบนคอผู้เสียหายแล้วเกิดการแย่งมีดกันทำให้บริเวณต้นคอด้านซ้ายของผู้เสียหายมีรอยถูกกระแทกด้วยของแข็งเป็นปื้นสีแดงและมีรอยถลอกเป็นเส้นยาว 3 นิ้วฟุต ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นบาดแผลถึงกับเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งมีดทำให้เกิดรอยถลอก ไม่ถึงขั้นอันตรายแก่กาย ความผิดตามมาตรา 391
จำเลยเอามีดพร้าวางบนคอผู้เสียหายแล้วเกิดการแย่งมีดกันทำให้บริเวณต้นคอด้านซ้านของผู้เสียหายมีรอยถูกกระแทกด้วยของแข็งเป็นปื้นสีแดงและมีรอยถลอกเป็นเส้นยาว 3นิ้วฟุต ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นบาดแผลถึงกับเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1928/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อและการบอกเลิกสัญญา: สิทธิในการคืนเงินและข้อจำกัดในการหักค่าเสียหาย
โจทก์ทำสัญญาจะโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงินค่าสิทธิการเช่างวดสุดท้ายแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระเงินงวดสุดท้าย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซึ่งก็ต้องให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมและต้องคืนเงินที่รับไว้แล้วให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวได้ ค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้นำมาหักจากเงินที่ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ และมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวและขอหักไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1928/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าและการคืนเงินมัดจำ กรณีจำเลยไม่ชำระเงิน และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการไม่ดูแลรักษา
โจทก์ทำสัญญาจะโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงินค่าสิทธิการเช่างวดสุดท้ายแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระเงินงวดสุดท้ายโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซึ่งก็ต้องให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมและต้องคืนเงินที่รับไว้แล้วให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวได้
ค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้นำมาหักจากเงินที่ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ และมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวและขอหักไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
ค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้นำมาหักจากเงินที่ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ และมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวและขอหักไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1928/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าและสิทธิในการเรียกคืนเงินค่าเช่าเมื่อเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
โจทก์ทำสัญญาจะโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงินค่าสิทธิการเช่างวดสุดท้ายแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระเงินงวดสุดท้ายโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซึ่งก็ต้องให้จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิมและต้องคืนเงินที่รับไว้แล้วให้แก่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งเรียกเงินจำนวนดังกล่าวได้
ค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้นำมาหักจากเงินที่ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ และมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวและขอหักไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
ค่าเสียหายที่โจทก์ขอให้นำมาหักจากเงินที่ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ และมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าวและขอหักไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำพิพากษาคืนรถยนต์ ผู้รับรถมีหน้าที่นำไปใช้ประโยชน์ มิอาจเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ชำระหนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนรถยนต์และเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ หากศาลไม่ให้ทุเลาการบังคับก็ขอให้กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่ให้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนได้ โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนไปแล้ว ดังนี้เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่ได้รับรถคืนไปเท่านั้น จะอ้างว่านำรถยนต์ไปเก็บรักษาตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติมิได้รับรถยนต์ตามคำพิพากษาและขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในเวลาต่อมานั้นไม่ได้ การที่จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ไปเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนรถยนต์และการคิดค่าขาดประโยชน์: การปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วน แม้โจทก์ไม่นำรถไปใช้ประโยชน์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนรถยนต์และเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ หากศาลไม่ให้ทุเลาการบังคับก็ขอให้กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่ให้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนได้ โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนไปแล้ว ดังนี้เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่ได้รับรถคืนไปเท่านั้น จะอ้างว่านำรถยนต์ไปเก็บรักษาตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติมิได้รับรถยนต์ตามคำพิพากษาและขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในเวลาต่อมานั้นไม่ได้ การที่จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ไปเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถตามคำพิพากษา: การรับรถคืนถือเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนรถยนต์และเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับ หากศาลไม่ให้ทุเลาการบังคับก็ขอให้กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับแต่ให้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนได้โจทก์นำหลักประกันมาวางและรับรถยนต์คืนไปแล้ว ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่ได้รับรถคืนไปเท่านั้น จะอ้างว่านำรถยนต์ไปเก็บรักษาตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ปฏิบัติมิได้รับรถยนต์ตามคำพิพากษาและขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในเวลาต่อมานั้นไม่ได้ การที่จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันที่จำเลยคืนรถยนต์แก่โจทก์ไปเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว