พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารจำนอง และปลอมแปลงเอกสารสิทธิเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเงิน
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือเรื่องราวจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แม้จะยังไม่ได้กรอกข้อความลงในเอกสารนั้น การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายทำเอกสารสิทธิแล้ว เพราะจำเลยอาจนำไปกรอกข้อความให้ครบถ้วนบริบูรณ์ว่าผู้เสียหายเจตนาทำสัญญาจำนองที่ดินได้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความให้ผิดจากความประสงค์ของผู้เสียหายโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอมแล้วจำเลยนำไปยื่นต่อธนาคารและสำนักงานที่ดินเพื่อเป็นการจำนองที่ดินของผู้เสียหายค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และ 268 ด้วยแต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวเพื่อให้ได้เงินจากธนาคารจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารจำนอง และการปลอมแปลงเอกสารสิทธิเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเงิน
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือเรื่องราวจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แม้จะยังไม่ได้กรอกข้อความลงในเอกสารนั้น การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียหายทำเอกสารสิทธิแล้ว เพราะจำเลยอาจนำไปกรอกข้อความให้ครบถ้วนบริบูรณ์ว่าผู้เสียหายเจตนาทำสัญญาจำนองที่ดินได้จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปกรอกข้อความให้ผิดจากความประสงค์ของผู้เสียหายโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยินยอม แล้วจำเลยนำไปยื่นต่อธนาคารและสำนักงานที่ดินเพื่อเป็นการจำนองที่ดินของผู้เสียหายค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยเป็นหนี้ธนาคารอยู่การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 และ 268 ด้วย แต่การกระทำของจำเลยมีเจตนาเดียวเพื่อให้ได้เงินจากธนาคาร จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 265 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษากลับ: เมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง โจทก์ต้องคืนทรัพย์ที่ได้รับไป
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทมาวางศาลตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้ขอรับทรัพย์พิพาทไป ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด และจำเลยได้มาขอทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ ดังนี้เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ย่อมสิ้นสภาพบังคับไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกคืนทรัพย์พิพาทจากโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีเรียกทรัพย์คืน การคืนทรัพย์พิพาท
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทมาวางศาลตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้ขอรับทรัพย์พิพาทไป ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด และจำเลยได้มาขอทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ ดังนี้เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ย่อมสิ้นสภาพบังคับไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกคืนทรัพย์พิพาทจากโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับ: สิทธิในทรัพย์สินหลังคดีถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย จำเลยนำทรัพย์พิพาทมาวางศาลตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้ขอรับทรัพย์พิพาทไปต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด และจำเลยได้มาขอทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ดังนี้เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ย่อมสิ้นสภาพบังคับไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกคืนทรัพย์พิพาทจากโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1933/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับคำให้การในคดีอาญา การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศาล และการยืนยันคำให้การของจำเลย
ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง และพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาอ้างว่าผิดระเบียบ เพราะจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพ ก็เพื่อให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ จึงเป็นการอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา ต้องใช้แบบพิมพ์อุทธรณ์
จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์คำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาก่อนที่จะกรอกข้อความเกี่ยวกับเรื่องจำเลยรับสารภาพหรือปฏิเสธ เมื่อศาลออกนั่งพิจารณาได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว ถ้าข้อความที่กรอกไว้ตรงกับคำให้การของจำเลยที่ศาลสอบถาม กระบวนพิจารณาก็ไม่ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 วรรคสอง.(ที่มา-ส่งเสริม)
จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์คำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาก่อนที่จะกรอกข้อความเกี่ยวกับเรื่องจำเลยรับสารภาพหรือปฏิเสธ เมื่อศาลออกนั่งพิจารณาได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว ถ้าข้อความที่กรอกไว้ตรงกับคำให้การของจำเลยที่ศาลสอบถาม กระบวนพิจารณาก็ไม่ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 วรรคสอง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางภาระจำยอม/ทางจำเป็น: การตีความ 'คันขอบลำราง' ต้องพิจารณาประโยชน์ใช้สอยในการเดินได้จริง
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าคันขอบลำรางกว้าง 2ศอกเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ แสดงว่าจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ทางนี้เดินได้และโจทก์สามารถเดินได้ตามปกติ ดังนั้น คันขอบลำรางตามที่คู่ความประนีประนอมยอมความกันจึงหมายถึงคันขอบลำรางซึ่งสามารถใช้เดินได้ตามปกติ มีขนาดกว้าง2 ศอก.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์สินหลังหย่า: แม้ยังมิได้จดทะเบียนโอน แต่หากมีหลักฐานการแบ่งทรัพย์สินโดยสุจริต ศาลต้องรับฟังพยาน
ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องตกลงหย่าขาดจากกันและทำบันทึกยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้อง แต่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นของผู้ร้อง เช่นนี้หากฟังได้ดังที่ผู้ร้องอ้าง กรณีก็มิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา แต่เป็นการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 แม้ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ต้องฟังพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลงดสืบพยานผู้ร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่าและการหักล้างข้อสันนิษฐานเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องตกลงหย่าขาดจากกันและทำบันทึกยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้องแต่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นของผู้ร้อง เช่นนี้ หากฟังได้ดังที่ผู้ร้องอ้าง กรณีก็มิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา แต่เป็นการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1532 แม้ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ต้องฟังพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลงดสืบพยานผู้ร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่าและการหักล้างข้อสันนิษฐานเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดเดิมเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง ต่อมาจำเลยกับผู้ร้องตกลงหย่าขาดจากกันและทำบันทึกยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้อง แต่ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นของผู้ร้อง เช่นนี้หากฟังได้ดังที่ผู้ร้องอ้าง กรณีก็มิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา แต่เป็นการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 แม้ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ต้องฟังพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความ การที่ศาลงดสืบพยานผู้ร้องและพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ.