คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปราโมทย์ ชพานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 950 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7040/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของลูกหนี้ร่วมและผู้ค้ำประกันในหนี้ที่เกิดจากการกระทำละเมิดและการรับสภาพหนี้
หนังสือค้ำประกันระบุว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์อย่างไม่มีจำกัด กับมีจำเลยที่ 3 ทำสัญญาจำนองให้ไว้ต่อโจทก์ และมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดเป็นมูลหนี้ที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เวลาที่ทำละเมิด ดังนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในดอกเบี้ยดังกล่าวด้วยตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 683,715 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์โดยยินยอมรับผิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยนั้น จำเลยที่ 2และที่ 3 หาจำต้องรับผิดร่วมด้วยเกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ตนจะต้องรับผิดแต่แรกไม่เพราะเป็นความรับผิดคนละส่วนกัน
หนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1ยักยอกเงินโจทก์ไป เป็นหนี้คนละจำนวนกับหนี้ตามฟ้องในคดีอาญาเรื่องก่อน การที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์คดีนี้ได้เคยแถลงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่าผู้เสียหายตกลงกับจำเลยได้โดยผู้เสียหายได้รับชำระหนี้จากจำเลยครบถ้วนแล้ว ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป ขอถอนคำร้องทุกข์เป็นหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ในคดีก่อนเท่านั้น หาใช่เป็นหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์ในคดีนี้ไม่ เช่นนี้ หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ในคดีนี้จึงมีมูลหนี้อยู่จริงและหนี้นั้นยังไม่ระงับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6869/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานทางอ้อมเพื่อพิสูจน์การข่มขู่ในการเจรจาหนี้สิน แม้ขาดพยานรู้เห็น
แม้ขาดประจักษ์พยานที่รู้เห็นการข่มขู่ในขณะเจรจาแต่พยานหลักฐานประกอบเหตุการณ์หลังจากเจรจาอันได้แก่บันทึกและเช็คที่ตรวจค้นและยึดได้จากจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาซึ่งสอดคล้องตรงกันกับที่โจทก์ร่วมได้ให้การไว้เป็นข้อสนับสนุนให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า คำของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้นตรงตามความเป็นจริงจำเลยที่ 1 เองก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยรับสารภาพชั้นจับกุมตามข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานตำรวจที่แจ้งแก่จำเลยที่ 1 หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ร่วมแล้ว ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อหาตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1ไม่สามารถหักล้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่มีหลักฐานอาวุธปืนโดยตรง ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานอื่นประกอบได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม เท่ากับศาลชั้นต้นยกฟ้องในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีก จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลางแต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอาวุธปืนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ไม่มีของกลาง ศาลใช้พยานหลักฐานอื่นพิพากษาได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่ากับศาลชั้นต้นยกฟ้องในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีก
จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลาง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา7, 72 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาผิดประเด็นอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้คำพิพากษาเพื่อความถูกต้องและสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดพิพาทเฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 82 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่ผู้คัดค้านครอบครองอยู่เนื้อที่ 1 งาน 63 ตารางวาส่วนผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ ดังนี้ประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียงตามคำขอในฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านคือที่ดินซึ่งมีเนื้อที่เพียง 1 งาน 63 ตารางวา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอเสียทั้งหมด จึงเป็นการไม่ถูกต้องมีผลเท่ากับเป็นการพิพากษายกคำร้องขอเกี่ยวกับที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ 2 งาน 19 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 1382 ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องด้วย เป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก่เสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ต้องไม่เกินประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์ หากเกินถือเป็นการพิพากษานอกเหนือประเด็น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดพิพาทเฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ3 งาน 82 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง และผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่ผู้คัดค้านครอบครองอยู่เนื้อที่ 1 งาน 63 ตารางวาส่วนผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ ดังนี้ประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียงตามคำขอในฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านคือที่ดินซึ่งมีเนื้อที่เพียง 1 งาน 63 ตารางวาการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอเสียทั้งหมด จึงเป็นการไม่ถูกต้องมีผลเท่ากับเป็นการพิพากษายกคำร้องขอเกี่ยวกับที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ 2 งาน19 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 1382 ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องด้วย เป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้เสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6443/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงงานสัญญาจ้างก่อสร้าง จำเลยต้องตกลงเพิ่มเติมงานและราคากับผู้รับเหมา การกระทำโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้ว่าจ้างถือเป็นความผิดของผู้รับเหมา
คณะกรรมการตรวจการจ้างเป็นเพียงคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยผู้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่แทนผู้ว่าจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2521 ตามคำสั่งจำเลยที่แต่งตั้งให้มีหน้าที่ตรวจการจ้างและควบคุมงานปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบตลอดจนควบคุมตรวจรับงานให้ถูกต้องตามสัญญาและรายละเอียดตามแบบแปลนคณะกรรมการตรวจการจ้างจึงไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ และจำเลยก็มิได้มอบหมายให้คณะกรรมการตรวจการจ้างตกลงหรือตัดสินใจแทนจำเลยในเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้าง และการที่โจทก์สำรวจพบหินพืดและหินผุในสายทาง ซึ่งต้องระเบิดทิ้งและอยู่นอกเหนือจากแบบและรายการประมูล โจทก์จะต้อง ปฏิบัติตามสัญญาจ้างโดยตกลงเพิ่มเติมงานและคิดราคากับจำเลยใหม่เมื่อโจทก์เพียงแต่สอบถามคณะกรรมการตรวจการจ้างถึงวิธีดำเนินการ แม้คณะกรรมการตรวจการจ้างพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับวิธีการที่จะระเบิดหินและให้ดำเนินการไปได้แต่เมื่อลักษณะงานที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้เป็นสาระสำคัญของสัญญาเพราะเกี่ยวข้องกับเงินค่าจ้างที่เปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมากซึ่งหากจะดำเนินงานต่อไปคู่สัญญาจำต้องทำความตกลงกันใหม่เสียก่อนตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง แต่โจทก์กลับทำข้ามขั้นตอนโดยจำเลยไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมตกลงด้วยเพราะอุปสรรคที่พบและจำนวนค่าจ้างที่สูงขึ้นอาจมีผลทำให้ต้องยกเลิกการจ้างได้ โจทก์จึงไม่อาจนำมากล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องเอาเงินเพิ่มได้ ดังนี้ เป็นความผิดพลาดบกพร่องของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบชำระค่าจ้างในส่วนงานที่เพิ่มแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6443/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงงานตามสัญญาจ้างและการตกลงเพิ่มเติม: จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบค่าจ้างงานเพิ่มหากไม่ได้รับความยินยอม
คณะกรรมการตรวจการจ้างเป็นเพียงคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งจากจำเลยผู้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่แทนผู้ว่าจ้างตามระเบียบสำนักนายก-รัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2521 ตามคำสั่งจำเลยที่แต่งตั้งให้มีหน้าที่ตรวจการจ้างและควบคุมงาน ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบตลอดจนควบคุมตรวจรับงานให้ถูกต้องตามสัญญาและรายละเอียดตามแบบแปลนคณะกรรมการตรวจการจ้างจึงไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ และจำเลยก็มิได้มอบหมายให้คณะกรรมการตรวจการจ้างตกลงหรือตัดสินใจแทนจำเลยในเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้าง และการที่โจทก์สำรวจพบหินพืดและหินผุในสายทาง ซึ่งต้องระเบิดทิ้งและอยู่นอกเหนือจากแบบและรายการประมูล โจทก์จะต้องปฏิบัติตามสัญญาจ้างโดยตกลงเพิ่มเติมงานและคิดราคากับจำเลยใหม่ เมื่อโจทก์เพียงแต่สอบถามคณะกรรมการตรวจการจ้างถึงวิธีดำเนินการ แม้คณะกรรมการตรวจการจ้างพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับวิธีการที่จะระเบิดหินและให้ดำเนินการไปได้แต่เมื่อลักษณะงานที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้เป็นสาระสำคัญของสัญญาเพราะเกี่ยวข้องกับเงินค่าจ้างที่เปลี่ยนแปลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากจะดำเนินงานต่อไปคู่สัญญาจำต้องทำความตกลงกันใหม่เสียก่อนตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง แต่โจทก์กลับทำข้ามขั้นตอน โดยจำเลยไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมตกลงด้วยเพราะอุปสรรคที่พบและจำนวนค่าจ้างที่สูงขึ้นอาจมีผลทำให้ต้องยกเลิกการจ้างได้ โจทก์จึงไม่อาจนำมากล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องเอาเงินเพิ่มได้ ดังนี้ เป็นความผิดพลาดบกพร่องของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบชำระค่าจ้างในส่วนงานที่เพิ่มแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6344/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อนหรือไม่เมื่อฟ้องแบ่งมรดกจากจำเลยผู้จัดการมรดก โดยอ้างการโอนที่ดินมรดกคนละแปลงให้บุคคลอื่น
คดีก่อนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ต.โอนที่ดินมรดกส่วนหนึ่งของ ต. ให้แก่ จ. โดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับ จ. และนำที่ดินมาแบ่งแก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาท ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ต. โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้จำเลยที่ 2 โดยมิชอบ ขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนำที่ดินดังกล่าวมาแบ่งแก่ทายาท แม้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ทั้งสองคดีจะฟ้องจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นทายาทและขอให้แบ่งมรดกของ ต. แต่มูลคดีฟ้องเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินมรดกคนละแปลงโอนให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ชอบคนละคราวกัน ซึ่งถือได้ว่ามิใช่เรื่องเดียวกันจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6344/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: การโอนที่ดินมรดกต่างแปลงกัน ถือเป็นเรื่องไม่เดียวกัน แม้ฟ้องขอแบ่งมรดกเดียวกัน
แม้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกนายตามเท่านั้นที่ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 5 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 283/2535ของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า เมื่อฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 5เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 283/2535 โจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 5 ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อแบ่งทรัพย์มรดกตามฟ้อง ฟ้องโจทก์ที่ 2ถึงโจทก์ที่ 5 ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนย่อมตกไปด้วยก็ตาม แต่เมื่อการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 5 คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 283/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เป็นการกำหนดประเด็นแบบกว้าง เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เกี่ยวกับจำเลยที่ 1เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ และเมื่อฟังว่าเป็นฟ้องซ้อนศาลก็ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมตกไปด้วยหรือไม่ ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาชอบแล้ว
คดีก่อนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายตามโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 659 มรดกส่วนหนึ่งของ ต.ให้แก่จ.โดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับ จ. และนำที่ดินมาแบ่งแก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทของ ต.ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายตามโอนที่ดินโฉนดเลขที่6278 ให้จำเลยที่ 2 โดยมิชอบ ขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนำที่ดินดังกล่าวมาแบ่งแก่ทายาท ดังนี้ แม้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ทั้งสองคดีจะฟ้องจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นทายาทของ ต.และขอให้แบ่งมรดกของต.ก็ตาม แต่มูลคดีที่ฟ้องเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินมรดกคนละแปลงโอนให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ชอบคนละคราวกัน ซึ่งถือได้ว่ามิใช่เรื่องเดียวกัน ดังนั้นฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
of 95