คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปราโมทย์ ชพานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 950 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8364/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามสัญญาประนีประนอม-ยอมความและการไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำ
ส.เคยยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน โดยกล่าวหาว่าโฉนดดังกล่าวออกมาไม่ชอบทับที่ดินของตน แต่ผลที่สุดคดีตกลงกันได้ ศาลได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอม-ยอมความไปแล้ว โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ น. ภรรยา ส. ซึ่งถึงแก่กรรมจึงมีความผูกพันตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ในอันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ ส.ทำไว้ เมื่อข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ส.ตกลงจะไม่เรียกร้องที่ดินที่เหลือนอกเหนือจากที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความอีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจเรียกร้องหรือฟ้องกรมที่ดินหรืออธิบดีกรมที่ดินขอให้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินนั้น พร้อมที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดดังกล่าวซ้ำอีก และการที่จำเลยทั้งสองแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า การออกโฉนดที่ดินและที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งแยกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำฟ้อง เป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงไม่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินตามคำฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8364/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องถูกจำกัดด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีเดิมห้ามฟ้องซ้ำ
ส.เคยยื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินเป็นจำเลยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินโดยกล่าวหาว่าโฉนดดังกล่าวออกมาไม่ชอบทับที่ดินของตนแต่ผลที่สุดคดีตกลงกันได้ศาลได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้วโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของน. ภรรยาส. ซึ่งถึงแก่กรรมจึงมีความผูกพันตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในอันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ส.ทำไว้เมื่อข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความส. ตกลงจะไม่เรียกร้องที่ดินที่เหลือนอกเหนือจากที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความอีกโจทก์จึงไม่มีอำนาจเรียกร้องหรือฟ้องกรมที่ดินหรืออธิบดีกรมที่ดินขอให้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินนั้นพร้อมที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดดังกล่าวซ้ำอีกและการที่จำเลยทั้งสองแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่าการออกโฉนดที่ดินและที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งแยกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวตามคำฟ้องเป็นการออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงไม่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีสิทธิใดๆเกี่ยวกับที่ดินตามคำฟ้องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8363/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัมปทานทำไม้: การสิ้นสุดสัญญาและการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่มิชอบด้วยขั้นตอนกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องพอสรุปได้ว่าการประกาศยกเลิกสัมปทานทำไม้ของจำเลยทั้งสองที่มีต่อโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 68 ทวิ แห่งพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจกระทำผิดกฎหมายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดต่อโจทก์และเรียกค่าเสียหายตามฟ้องอันเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ในลักษณะละเมิดและผิดสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกเงินชดเชยความเสียหายเพียงประการเดียว กรณีไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 68 ทศ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
คำว่า "สัมปทาน" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2525 หมายถึง การอนุญาตให้มีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการบางอย่างเช่นเหมืองแร่และป่าไม้และตามมาตรา 63 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484ได้บัญญัติไว้ว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รัฐบาลมีอำนาจให้สัมปทานในการทำไม้ชนิดใด หรือเก็บของป่าอย่างใดในป่าใดโดยมีขอบเขตเพียงใดและในสัมปทานนั้นจะให้มีข้อกำหนดและเงื่อนไขอย่างใดก็ได้" เนื้อความในสัมปทานทำไม้ของห้าม เป็นเรื่องที่รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยที่ 1 ให้บริษัทตากทำไม้ จำกัด โจทก์เข้าทำไม้หวงห้ามภายในเขตพื้นที่ที่กำหนด โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้โจทก์ต้องปฏิบัติด้วย และตามข้อกำหนดในสัมปทาน โจทก์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่โดยเสียผลตอบแทนให้รัฐบาลเพียงเล็กน้อยเป็นเงินค่าภาคหลวงและค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในข้อ 5 ของสัมปทาน การให้สัมปทานเป็นวิธีการอนุญาตวิธีหนึ่งซึ่งผู้ได้รับสัมปทานมีสิทธิที่จะทำกิจการที่ได้รับสัมปทานโดยไม่ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับการได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน ดังนี้ สัมปทานทำไม้ตามฟ้องจึงเป็นเอกสารการอนุญาตให้โจทก์มีสิทธิทำไม้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายเท่านั้น มิใช่สัญญาตาม ป.พ.พ.
การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้สัมปทานตามฟ้องสิ้นสุดลงเป็นการออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 68 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้พ.ศ.2484 ซึ่งเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในคำสั่งดังกล่าวที่ได้ระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งว่า เนื่องจากปัจจุบันนี้พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายและเสื่อมโทรมลงจนเป็นเหตุให้เกิดสภาวะการขาดความสมดุลของสภาพแวดล้อม กรณีเป็นการจำเป็นต้องใช้พื้นที่ป่าไม้ในเขตสัมปทาน เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่า จำเลยทั้งสองออกคำสั่งเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการออกโดยกฎหมายให้อำนาจไว้ จึงเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ได้ยื่นคำร้องเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่ออธิบดีกรมป่าไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 68 อัฏฐแล้ว แต่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้เพียงบางส่วน โจทก์ไม่พอใจ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 68 ทศ และได้นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองในขณะที่รัฐมนตรียังไม่ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จะวินิจฉัย การที่โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ก่อนที่รัฐมนตรีจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์หรือก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งเป็นการยื่นฟ้องที่ผิดขั้นตอนของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลในส่วนที่เกี่ยวกับเงินชดเชยค่าจ้างคนงานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8363/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งปิดป่าโดยรัฐมนตรีชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นละเมิด สิทธิเรียกร้องค่าชดเชยต้องยื่นตามขั้นตอน
โจทก์บรรยายฟ้องพอสรุปได้ว่าการประกาศยกเลิกสัมปทานทำไม้ของจำเลยทั้งสองที่มีต่อโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 68 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจกระทำผิดกฎหมายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดต่อโจทก์และเรียกค่าเสียหายตามฟ้องอันเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ในลักษณะละเมิดและผิดสัญญามิใช่เป็นการฟ้องเรียกเงินชดเชยความเสียหายเพียงประการเดียวกรณีไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 68 ทศ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ คำว่า "สัมปทาน" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 หมายถึง การอนุญาตให้มีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการบางอย่างเช่นเหมืองแร่และป่าไม้และตามมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ได้บัญญัติไว้ว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รัฐบาลมีอำนาจให้สัมปทานในการทำไม้ชนิดใด หรือเก็บของป่าอย่างใดโดยมีขอบเขตเพียงใดและในสัมปทานนั้นจะให้มีข้อกำหนดและเงื่อนไขอย่างใดก็ได้"เนื้อความสัมปทานทำไม้ของห้าม เป็นเรื่องที่รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยที่ 1 ให้บริษัทตากทำไม้ จำกัดโจทก์เข้าทำไม้หวงห้ามภายในเขตพื้นที่ที่กำหนด โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้โจทก์ต้องปฏิบัติด้วย และตามข้อกำหนดในสัมปทานโจทก์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่โดยเสียผลตอบแทนให้รัฐบาลเพียงเล็กน้อยเป็นเงินค่าภาคหลวงและค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในข้อ 5 ของสัมปทาน การให้สัมปทานเป็นวิธีการอนุญาตวิธีหนึ่งซึ่งผู้ได้รับสัมปทานมีสิทธิที่จะทำกิจการที่ได้รับสัมปทานโดยไม่ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับการได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนดังนี้ สัมปทานทำไม้ตามฟ้องจึงเป็นเอกสารการอนุญาตให้โจทก์มีสิทธิทำไม้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายเท่านั้น มิใช่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้สัมปทานตามฟ้องสิ้นสุดลงเป็นการออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 68 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในคำสั่งดังกล่าวที่ได้ระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งว่าเนื่องจากปัจจุบันนี้พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายและเสื่อมโทรมลงจนเป็นเหตุให้เกิดสภาวะการขาดความสมดุลของสภาพแวดล้อม กรณีเป็นการจำเป็นต้องใช้พื้นที่ป่าไม้ในเขตสัมปทาน เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่า จำเลยทั้งสองออกคำสั่งเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการออกโดยกฎหมายให้อำนาจไว้ จึงเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ได้ยื่นคำร้องเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่ออธิบดีกรมป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 68 อัฎฐแล้ว แต่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้เพียงบางส่วน โจทก์ไม่พอใจ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 68 ทศ และได้นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองในขณะที่รัฐมนตรียังไม่ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จะวินิจฉัย การที่โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ก่อนที่รัฐมนตรีจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์หรือก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการยื่นฟ้องที่ผิดขั้นตอนของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลในส่วนที่เกี่ยวกับเงินชดเชยค่าจ้างคนงานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8363/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเพิกถอนสัมปทานป่าไม้ และการปฏิบัติตามขั้นตอนการขอรับเงินชดเชย
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปได้ว่า การประกาศยกเลิกสัมปทานทำไม้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยที่มีต่อโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 68 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เป็นการจงใจกระทำผิดกฎหมายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดต่อโจทก์และเรียกค่าเสียหาย อันเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในลักษณะละเมิดและผิดสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกเงินชดเชยความเสียหายเพียงประการเดียวจึงไม่อยู่ในบังคับของเงื่อนไขในการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 68 ทศโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ สัมปทานทำไม้เป็นการอนุญาตให้ผู้รับสัมปทานมีสิทธิทำไม้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายเท่านั้น มิใช่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยออกคำสั่งให้สัมปทานการทำไม้หวงห้ามทุกชนิดทั่วประเทศรวมทั้งของโจทก์สิ้นสุดลง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 68 ทวิแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 จึงเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ เงินประกันการปฏิบัติตามสัมปทานการทำไม้หวงห้ามเป็นเงิน ที่โจทก์ผู้รับสัมปทานวางไว้เพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ จะปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัมปทาน ผู้ให้ สัมปทานจะริบได้ต้องเป็นกรณีมีการเพิกถอนสัมปทานโดย ผู้รับสัมปทานปฏิบัติผิดข้อกำหนดหรือเงื่อนไขตามสัมปทานการทำไม้ ข้อ 33 เท่านั้น แต่กรณีที่รัฐบาลออกกฎหมายและมีคำสั่งให้สัมปทานการทำไม้ทั่วประเทศสิ้นสุดลง มิใช่เป็นการสั่งเพิกถอนตามสัมปทานข้อ 33 จึงไม่มีสิทธิที่จะริบเงินประกันต้องคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่ออธิบดีกรมป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 68 อัฏฐแล้ว แต่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้เพียงบางส่วน โจทก์ไม่พอใจ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยตามมาตรา 68 ทศเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2533 และได้นำคดีมาฟ้องจำเลยในวันที่ 22 มกราคม 2533 ซึ่งรัฐมนตรียังไม่ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จะวินิจฉัยเป็นการยื่นฟ้องที่ผิดขั้นตอนของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลในส่วนที่เกี่ยวกับเงินชดเชยค่าจ้างคนงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8344/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าไม่ใช่เครื่องเล่นพนัน หากไม่มีการแพ้ชนะระหว่างบุคคล การจัดให้เล่นจึงไม่ผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน
คำว่า"เครื่องเล่น"ตามกฎกระทรวงฉบับที่23(พ.ศ.2530)ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ.2478ที่กำหนดว่าเป็นเครื่องเล่นซึ่งสามารถทำให้แพ้ชนะกันได้นั้นย่อมมีความหมายตามปกติว่าเป็นการแพ้ชนะระหว่างบุคคลตั้งแต่2คนขึ้นไปแต่เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าของกลางสามารถเล่นคนเดียวก็ได้หากผู้เล่นมีความสามารถหรือมีทักษะก็จะได้คะแนนดีคะแนนที่ปรากฏบนจอภาพเป็นคะแนนความสามารถของผู้เล่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นดังกล่าวโดยสภาพของเครื่องเล่นเกมไฟฟ้าของกลางเป็นการให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้เล่นโดยผู้เล่นจะต้องจ่ายค่าเล่นด้วยการหยอดเหรียญ5บาทลงไปในตู้การจะใช้ผลคะแนนดังกล่าวเพื่อเล่นการพนันกันได้นั้นเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างหากหาใช่เป็นคุณสมบัติปกติของเครื่องเล่นดังกล่าวไม่เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าของกลางจึงไม่ใช่เครื่องเล่นในความหมายของกฎกระทรวงฉบับที่23(พ.ศ.2530)ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ.2478การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8344/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตู้เกมไฟฟ้าไม่ใช่เครื่องเล่นพนัน หากให้ความสนุกเพลิดเพลิน ไม่มีการแพ้ชนะหรือผลตอบแทน
เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าที่เล่นคนเดียวก็ได้ หากผู้เล่นมีความสามารถหรือมีทักษะ ก็จะได้คะแนนดี แต่ผู้เล่นจะไม่ได้รับ ผลตอบแทนใด ๆ จากเครื่องเล่น คงได้รับความสนุกเพลิดเพลิน เท่านั้น แสดงว่า โดยสภาพของเครื่องเล่นนั้นเป็นการ ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้เล่น โดยผู้เล่นจะต้อง จ่ายค่าเล่นด้วยการหยอดเหรียญลงไปในตู้ แม้จะมีคะแนน ปรากฏบนจอภาพก็เป็นส่วนหนึ่งของการเล่นดังกล่าว โดยเป็นเพียงสิ่งที่แสดงถึงความสามารถหรือทักษะของผู้เล่น เท่านั้น จึงไม่เป็นเครื่องเล่นที่อยู่ในความหมายของกฎกระทรวง ฉบับที่ 23(พ.ศ. 2530) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ที่จะต้องขออนุญาตจัดให้มีการเล่นดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8344/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าไม่ใช่เครื่องเล่นพนัน หากไม่มีการใช้ผลคะแนนเพื่อเล่นการพนัน
คำว่า "เครื่องเล่น" ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 23 (พ.ศ.2530)ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ที่กำหนดว่าเป็นเครื่องเล่นซึ่งสามารถทำให้แพ้ชนะกันได้นั้น ย่อมมีความหมายตามปกติว่าเป็นการแพ้ชนะระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป แต่เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าของกลางสามารถเล่นคนเดียวก็ได้หากผู้เล่นมีความสามารถหรือมีทักษะก็จะได้คะแนนดี คะแนนที่ปรากฏบนจอภาพเป็นคะแนนความสามารถของผู้เล่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นดังกล่าว โดยสภาพของเครื่องเล่นเกมไฟฟ้าของกลางเป็นการให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้เล่น โดยผู้เล่นจะต้องจ่ายค่าเล่นด้วยการหยอดเหรียญ 5 บาท ลงไปในตู้ การจะใช้ผลคะแนนดังกล่าวเพื่อเล่นการพนันกันได้นั้น เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างหาก หาใช่เป็นคุณสมบัติปกติของเครื่องเล่นดังกล่าวไม่ เครื่องเล่นเกมไฟฟ้าของกลางจึงไม่ใช่เครื่องเล่นในความหมายของกฎกระทรวง ฉบับที่ 23(พ.ศ. 2530) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8065/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความต้องมีคำขอบังคับชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอ้างมูลคดีว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำกันไว้ส่วนผู้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามโดยอ้างนิติสัมพันธ์ตามสัญญาซื้อขายที่ผู้ร้องกับจำเลยที่1มีต่อกันเป็นคำร้องขอเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)ซึ่งเป็นคำฟ้องตามมาตรา172วรรคสองที่ต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแต่คำร้องของผู้ร้องมิได้มีคำขอบังคับโดยชัดแจ้งหรือมีคำขอบังคับอยู่ในตัวว่าอย่างไรเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7908/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกกล่าวบังคับจำนองและข้อตกลงทบยอดเงินต้นดอกเบี้ยค้างชำระ
การบอกกล่าวบังคับจำนอง กฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือเท่านั้น มิได้กำหนดเป็นแบบไว้แต่อย่างไร การที่นาย ว.บอกกล่าวบังคับจำนองทางไปรษณีย์ตอบรับแต่ส่งไม่ได้ เนื่องจากหาที่อยู่จำเลยไม่พบ จึงได้ประกาศแจ้งบังคับจำนองทางหนังสือพิมพ์ให้จำเลยทราบ แม้การที่โจทก์มอบอำนาจให้นาย ว.บอกกล่าวบังคับจำนองมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่การบอกกล่าวบังคับจำนองของนาย ว.ได้กระทำในนามโจทก์ ต่อมาโจทก์ได้มอบอำนาจให้นาง บ. ดำเนินคดีกับจำเลยถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบัน การบอกกล่าวบังคับจำนองให้จำเลยทราบตาม ป.พ.พ.มาตรา 823 วรรคหนึ่ง และถือได้ว่าการบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อตกลงที่จำเลยยินยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกิน1 ปี มาทบกับยอดเงินกู้เป็นเงินต้นแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้เมื่อโจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกิน 1 ปี มาทบรวมกับยอดเงินต้นแล้ว ดอกเบี้ยที่ทบนั้นก็กลายเป็นเงินต้น ไม่เป็นดอกเบี้ยที่ค้างอีกต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 655 วรรคหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ในบังคับข้อห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง
of 95