คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สกนธ์ กฤติยาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,686 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3667/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงต้องมีเจตนาทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ การรับสมาชิกสมาคมฌาปนกิจโดยแจ้งข้อมูลเท็จแต่ไม่ได้ทรัพย์สิน ไม่เป็นความผิด
จำเลยทั้งสองร่วมกันนำ ธ. มาสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โจทก์ร่วม โดยแจ้งแก่โจทก์ร่วมว่า ธ. คือ บ. บิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรงเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงรับ บ. เป็นสมาชิก ความจริงแล้วขณะนั้น บ. ป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ การหลอกลวงมีผลเพียงให้โจทก์ร่วมรับ บ. เข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาได้ทำให้จำเลยทั้งสองได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ร่วมไม่ แม้ต่อมาโจทก์ร่วมจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้จำเลยที่ 1 ไปจำนวน 92,000 บาท แต่ก็เนื่องจาก บ. ถึงแก่กรรมหาใช่เนื่องจากจำเลยทั้งสองหลอกลวงไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง พนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43คำขอส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ย่อมตกไปด้วย ศาลไม่อาจสั่งให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 92,000 บาท แก่โจทก์ร่วมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3667/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกง: การหลอกลวงเพื่อรับเงินสงเคราะห์ฌาปนกิจสงเคราะห์ ไม่เข้าข่ายฉ้อโกงหากไม่ได้ทรัพย์สินโดยตรง
++ เรื่อง ฉ้อโกง
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 143 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3544/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์สินสมรสและผลของการทำพินัยกรรมที่เกินสิทธิ
แม้การที่ ร.ให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรส โดยเสน่หาแก่จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา 1476 (5) และ 1479 และโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้เรื่องที่ ร.จดทะเบียนการให้ที่ดินแก่จำเลยหรือภายใน 10 ปี นับแต่วันจดทะเบียนการให้ตาม มาตรา 1480 ได้ก็ตาม แต่โจทก์ยังมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ ดังนี้ ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่และจำเลยครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เนื่องจากได้รับยกให้จาก ร.จำเลยจึงไม่มีหน้าที่แบ่งสินสมรสดังกล่าวของ ร.ให้โจทก์
การทำพินัยกรรม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1476 วรรคหนึ่ง
แม้ ร.มีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านพิพาทที่เป็นสินสมรสระหว่างร.กับโจทก์ที่ ร.มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 1476วรรคสอง ได้ก็ตาม แต่ ร.ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยได้ การที่ ร.ทำพินัยกรรมยกบ้านสินสมรสทั้งหลังให้แก่จำเลยจึงไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของมีสิทธิฟ้องติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้ โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ โดยโจทก์ไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมของ ร. ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3544/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: การให้โดยเสน่หา, พินัยกรรม, และสิทธิในการติดตามทรัพย์สิน
แม้การที่ ร. ให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรส โดยเสน่หาแก่จำเลยโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476(5) และ 1479 และโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้เรื่องที่ ร. จดทะเบียนการให้ที่ดินแก่จำเลยหรือภายใน 10 ปี นับแต่วันจดทะเบียนการให้ตาม มาตรา 1480 ได้ก็ตาม แต่โจทก์ยังมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ดังนี้ที่ดินพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่และจำเลยครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เนื่องจากได้รับยกให้จาก ร. จำเลยจึงไม่มีหน้าที่แบ่งสินสมรสดังกล่าวของ ร. ให้โจทก์ การทำพินัยกรรม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่จะต้องได้รับความยินยอมคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคหนึ่ง แม้ ร.มีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านพิพาทที่เป็นสินสมรสระหว่างร.กับโจทก์ที่ร.มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคสอง ได้ก็ตาม แต่ ร. ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยได้ การที่ ร. ทำพินัยกรรมยกบ้านสินสมรสทั้งหลังให้แก่จำเลยจึงไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของมีสิทธิฟ้องติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้ โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ โดยโจทก์ไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรม ของ ร. ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยวินิจฉัยแล้วย่อมเป็นเหตุให้ฟ้องซ้ำไม่ได้
คดีก่อนมีประเด็นพิพาทว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. จำนวนครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลงและได้ ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยหรือไม่ คู่ความตกลงท้ากันว่าให้ส่งลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ซึ่งพิมพ์ต่อหน้าศาลไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายตามที่ปรากฏในหนังสือคำยินยอมของคู่สมรสเอกสารหมาย จ. 1 และ จ. 2 หากผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าไม่ใช่ของโจทก์หรือไม่น่าเชื่อว่าเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองยอมแพ้ ขอให้ศาล พิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส. 3. ก. เลขที่ 7 และเลขที่ 11 ให้แก่โจทก์ แต่ถ้าหากผล การตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าลายพิมพ์นิ้วมือตามเอกสารดังกล่าวใช่หรือน่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ โจทก์ยอมแพ้ ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ เห็นว่า ลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้าย ตามเอกสารหมาย จ. 1 และ จ. 2 เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี คดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนกลับมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้อีกโดยอ้างว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลง แม้คดีนี้โจทก์จะอ้างเหตุว่าจำเลยประพฤติเนรคุณรวมอยู่ด้วย เช่นนี้ประเด็นพิพาทในคดีก่อนและคดีนี้ยังคงเป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งหกแปลงเช่นเดียวกัน ซึ่งได้รับ การวินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อนจึงเป็นกรณีคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ อย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยมีคำวินิจฉัยแล้ว แม้มีเหตุใหม่ก็ต้องห้ามฟ้องซ้ำ
คดีก่อนมีประเด็นพิพาทว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. จำนวนครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลงและได้ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยหรือไม่คู่ความตกลงท้ากันว่าให้ส่งลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ซึ่งพิมพ์ต่อหน้าศาลไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายตามที่ปรากฏในหนังสือคำยินยอมของคู่สมรสเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ถ้าหากผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าลายพิมพ์นิ้วมือตามเอกสารดังกล่าวใช่หรือน่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ โจทก์ยอมแพ้ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจเห็นว่าลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี คดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้อีก โดยอ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลง แม้คดีนี้โจทก์จะอ้างเหตุว่าจำเลยประพฤติเนรคุณรวมอยู่ด้วย แต่ประเด็นพิพาทในคดีก่อนและคดีนี้ยังคงเป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งหกแปลงเช่นเดียวกันซึ่งได้รับการวินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อน จึงเป็นกรณีคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3507/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง, สิทธิในการฟ้องคดีหลังแปรสภาพบริษัท, และการยกข้อโต้แย้งใหม่ในชั้นฎีกา
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยและมิได้ฟังคำคัดค้านของจำเลยก่อนเป็นการไม่ชอบเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27เมื่อปรากฏว่าจำเลยย่อมทราบว่าศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์แล้วแต่จำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยทราบ จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ไม่ได้เพราะเป็นนิติบุคคลคนละคน มิใช่เป็นการแก้ชื่อให้ถูกต้องแต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตาม ป.พ.พ. เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 ถึงแม้ว่าบริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 มาตรา 184 แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185 การฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิ โจทก์ซึ่งจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจึงได้รับสิทธิในการฟ้องคดีของบริษัทจำกัดเดิม โจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่งทนายความใหม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3507/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปรสภาพบริษัทจากจำกัดเป็นมหาชนไม่กระทบสิทธิและหน้าที่เดิมในการฟ้องคดี
การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535ถึงแม้ว่าบริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัดฯมาตรา 184 แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สินหนี้สิทธิและความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185เมื่อการฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิโจทก์ซึ่งจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจึงได้รับสิทธิในการฟ้องคดีของบริษัทจำกัดเดิมโจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่ทนายความใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3507/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง, อำนาจฟ้อง, และผลของการแปรสภาพนิติบุคคลต่อสิทธิหน้าที่เดิม
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยและมิได้ฟังคำคัดค้านของจำเลยก่อน เป็นการไม่ชอบเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 นั้น แต่จำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยทราบ จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ไม่ได้ เพราะเป็นนิติบุคคลคนละคน มิใช่เป็นการแก้ชื่อให้ถูกต้อง แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
การฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิอย่างหนึ่ง การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ถึงแม้ว่า บริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 184 แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185 โจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่งทนายความใหม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3447/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเล่นการพนัน: การพิจารณาโทษและมาตรการคุมประพฤติ
การที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และร่วมเล่นกับจำเลยอื่นด้วยนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมกับของกลางเพียงเล็กน้อย แม้จะจับผู้ร่วมเล่นการพนันได้ถึง 19 คน แต่การเล่นพนันดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นบ่อนการพนันขนาดใหญ่ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงยังอยู่ในเพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับประพฤติตนเป็นคนดีและประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงครอบครัวต่อไป แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 เข็ดหลาบยิ่งขึ้นสมควรกำหนดระยะเวลาในการรอการลงโทษให้นานขึ้นและกำหนดมาตรการในการคุมความประพฤติเสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
of 369