คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สกนธ์ กฤติยาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,686 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบถามจำเลยเรื่องทนายก่อนเริ่มพิจารณาคดีอาญาอัตราโทษสูง
คดีที่มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงสิบปี ศาลชั้นต้นจะต้องสอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่ามีทนายความหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปโดยไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการดังกล่าว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องย้อนสำนวนเพื่อให้ศาลชั้นต้นดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบถามจำเลยเรื่องทนายก่อนพิจารณาคดีอัตราโทษสูงสิบปีเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่ต้องดำเนินการ หากไม่ทำ กระบวนการพิจารณาไม่ถูกต้อง
คดีที่มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงสิบปี ศาลชั้นต้นจะต้อง สอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่ามีทนายความหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปโดยไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการ ดังกล่าว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องย้อนสำนวนเพื่อให้ศาลชั้นต้นดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษปรับและการกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30
ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 60 บาทแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 บัญญัติว่า ในการกักขังแทนค่าปรับให้ถืออัตรา 70 บาท ต่อหนึ่งวัน ฉะนั้น การบังคับค่าปรับจึงกักขังแทนค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเป็นว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29แต่ประการเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกักขังแทนค่าปรับ: อัตราค่าปรับและข้อจำกัดตามกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยเป็นเงิน 60 บาท แต่ ป.อ.มาตรา30 บัญญัติว่า ในการกักขังแทนค่าปรับให้ถืออัตรา 70 บาท ต่อหนึ่งวัน ฉะนั้น การบังคับค่าปรับจึงกักขังแทนค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ.มาตรา 29,30 จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องเป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29 แต่ประการเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดยอมความได้ & อุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่ – คดีข่มขืน ทำร้ายร่างกาย
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก และมาตรา 310 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหาย ถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนนี้ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผล บังคับอีกต่อไป อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้ตบหน้าผู้เสียหายแต่หากจะฟังว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายจริงก็เป็นเพราะผู้เสียหาย ตบหน้าจำเลย จำเลยจึงตบหน้าผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวนั้น นอกจากจะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำผิด แล้ว ยังได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าการกระทำของจำเลย เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหา ข้อเท็จจริงเพื่อนำมาสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงโทษจำคุกสำหรับผู้กระทำผิดฐานเสพยาเสพติดแล้วขับรถ โดยคำนึงถึงประเภทรถและตำแหน่งหน้าที่
แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้โดยง่าย แต่รถยนต์ที่จำเลยขับ ขณะถูกจับกุมเป็นเพียงรถยนต์กระบะส่วนบุคคล มิใช่รถยนต์ บรรทุกขนาดใหญ่หรือรถยนต์โดยสาร ประกอบกับจำเลย มีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลเห็นควรให้โอกาสจำเลยทำงานเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรในท้องถิ่นของตนต่อไป โดยรอการลงโทษจำคุกและกำหนดเงื่อนไข เพื่อคุมความประพฤติจำเลยไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 495/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม หากทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และค่าเสียหายยังไม่ถูกฟ้องก่อนยื่น
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อจากโจทก์และจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว สัญญาเช่าที่ทำไว้กับโจทก์จึงระงับไป เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยครอบครองแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าอุทธรณ์ของจำเลยเช่นนี้มิใช่อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย จำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์นั้นต้องเป็นค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายก่อนยื่นคำฟ้อง จึงไม่มีจำนวนค่าเสียหายที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ เมื่อคดีนี้ที่ดินพิพาทมีราคา 40,500 บาทและทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนดังกล่าว จำเลยย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์เรื่องการรับสารภาพและผลกระทบของพ.ร.บ.ล้างมลทินต่อการเพิ่มโทษ
อุทธรณ์ของจำเลยข้อที่ว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพเพราะสงสาร เพื่อนที่ไปด้วยและพนักงานสอบสวนให้คำมั่นสัญญา ว่าจำเลยจะไม่ถูกลงโทษจำคุกนั้น เป็นอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพ ของจำเลย ต้องถือว่ามิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงชอบแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 มาตรา 4 ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา ของศาลที่จะได้รับการล้างมลทินและถือว่าไม่เคยถูกลงโทษ ในความผิดตามคำพิพากษานั้น นอกจากต้องเป็น ผู้ต้องโทษที่ได้กระทำผิดก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 แล้ว ยังต้องเป็นผู้พ้นโทษไปแล้วก่อน หรือในวันที่ 11 กันยายน 2539 อันเป็นวันที่ พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับด้วย เมื่อปรากฏว่า จำเลยถูกจำคุกครบกำหนดโทษและถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขัดกับคำรับสารภาพ และการไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินเนื่องจากพ้นโทษช้ากว่ากำหนด
อุทธรณ์ของจำเลยข้อที่ว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพเพราะสงสารเพื่อนที่ไปด้วยและพนักงานสอบสวนให้คำมั่นสัญญาว่าจำเลยจะไม่ถูกลงโทษจำคุกนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย ต้องถือว่ามิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี พ.ศ.2539 มาตรา 4ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลที่จะได้รับการล้างมลทินและถือว่าไม่เคยถูกลงโทษในความผิดตามคำพิพากษานั้น นอกจากต้องเป็นผู้ต้องโทษที่ได้กระทำผิดก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 แล้ว ยังต้องเป็นผู้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ 11 กันยายน 2539 อันเป็นวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลใช้บังคับด้วย เมื่อปรากฏว่าจำเลยถูกจำคุกครบกำหนดโทษและถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539 อันเป็นเวลาภายหลังพ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7324-7325/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาต่อความเสียหายจากละเมิดของลูกน้อง และการคำนวณอายุความคดีละเมิด
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ดำรงตำแหน่งในระดับผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่กองของกลางและของตกค้าง มีหน้าที่สอดส่องดูแล ตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่งของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงมิใช่เจ้าหน้าที่ผู้ลงมือปฏิบัติในการเก็บรักษาของกลางโดยตรง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้ทำละเมิดหรือร่วมกับบุคคลอื่นทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เสียเอง หรือมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้คนร้ายลักลอบเอาของมีค่าซึ่งโจทก์เก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยที่เกิดเหตุไปได้แล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ก็หาต้องรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิดไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และเป็นผู้ลงมือปฏิบัติในการเก็บรักษาของกลางโดยตรงได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้คนร้ายลักลอบเอาของมีค่าในตู้นิรภัยของโจทก์ไป จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและประมาทเลินเล่อ ปล่อยปละละเลย ไม่ได้มีการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งของโจทก์ จึงต้องร่วมรับผิดด้วย
ป.พ.พ. มาตรา 448 บัญญัติว่า "สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน..." โจทก์เป็นกรมในรัฐบาลและเป็นนิติบุคคล มีอธิบดีเป็นผู้กระทำการแทน ความประสงค์ของโจทก์ย่อมแสดงออกโดยอธิบดีของโจทก์ ต้องถือว่าโจทก์เพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 ซึ่งเป็นวันที่อธิบดีของโจทก์ลงนามทราบผลสรุปรายงานผลการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งของคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง เมื่อนับแต่วันดังกล่าวถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
of 369