คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สกนธ์ กฤติยาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,686 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7110/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมหมดประโยชน์จากการถูกรอนสิทธิ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
ที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ของจำเลยตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 30365 และคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 เป็นทางภาระจำยอมหรือไม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ส่วนที่อยู่เหนือทางเข้าบ้านโจทก์ขึ้นไปไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรต่อไปได้ ทางภาระจำยอมส่วนนี้จึงหมดประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่จะใช้ออกสู่ทางสาธารณะ ภาระจำยอมส่วนนี้จึงหมดไปจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ทางพิพาทโฉนดเลขที่ 30363 ของจำเลยตลอดสายเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยปลูกสร้างอาคารคร่อมที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ทางด้านทิศเหนือของจำเลย ย่อมเป็นการทำให้โจทก์ไม่ได้รับความสะดวก ถือว่าเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยจึงต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากทางภาระจำยอมดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7110/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอม: การรุกล้ำทางภารจำยอมทำให้ประโยชน์เสื่อม หากพิพากษาเกินประเด็น ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด
ที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ของจำเลยตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 30365 และคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 30363เป็นทางภารจำยอมหรือไม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ส่วนที่อยู่เหนือทางเข้าบ้านโจทก์ขึ้นไปไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรต่อไปได้ ทางภารจำยอมส่วนนี้จึงหมดประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่จะใช้ออกสู่ทางสาธารณะ ภารจำยอมส่วนนี้จึงหมดไปจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ทางพิพาทโฉนดเลขที่ 30363 ของจำเลยตลอดสายเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยปลูกสร้างอาคารคร่อมที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ทางด้านทิศเหนือของจำเลย ย่อมเป็นการทำให้โจทก์ไม่ได้รับความสะดวก ถือว่าเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยจึงต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากทางภารจำยอมดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7110/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมหมดประโยชน์หรือไม่ การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางภารจำยอม
ที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ของจำเลยตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 30365 และคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 30363เป็นทางภารจำยอมหรือไม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ส่วนที่อยู่เหนือทางเข้าบ้านโจทก์ขึ้นไปไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรต่อไปได้ ทางภารจำยอมส่วนนี้จึงหมดประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่จะใช้ออกสู่ทางสาธารณะ ภารจำยอมส่วนนี้จึงหมดไปจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ทางพิพาทโฉนดเลขที่ 30363 ของจำเลยตลอดสายเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ดังนี้ การที่จำเลยปลูกสร้างอาคารคร่อมที่ดินโฉนดเลขที่ 30363 ทางด้านทิศเหนือของจำเลย ย่อมเป็นการทำให้โจทก์ไม่ได้รับความสะดวก ถือว่าเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก จำเลยจึงต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากทางภารจำยอมดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6869/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานทางอ้อมเพื่อพิสูจน์การข่มขู่ในการเจรจาหนี้สิน แม้ขาดพยานรู้เห็น
แม้ขาดประจักษ์พยานที่รู้เห็นการข่มขู่ในขณะเจรจาแต่พยานหลักฐานประกอบเหตุการณ์หลังจากเจรจาอันได้แก่บันทึกและเช็คที่ตรวจค้นและยึดได้จากจำเลยที่ 1 ตามวันเวลาซึ่งสอดคล้องตรงกันกับที่โจทก์ร่วมได้ให้การไว้เป็นข้อสนับสนุนให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า คำของโจทก์ร่วมที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนนั้นตรงตามความเป็นจริงจำเลยที่ 1 เองก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยรับสารภาพชั้นจับกุมตามข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานตำรวจที่แจ้งแก่จำเลยที่ 1 หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบข้อเท็จจริงจากโจทก์ร่วมแล้ว ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อหาตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยที่ 1ไม่สามารถหักล้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยไม่มีหลักฐานอาวุธปืนโดยตรง ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานอื่นประกอบได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม เท่ากับศาลชั้นต้นยกฟ้องในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีก จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลางแต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีอาวุธปืนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ไม่มีของกลาง ศาลใช้พยานหลักฐานอื่นพิพากษาได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม เท่ากับศาลชั้นต้นยกฟ้องในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวอีก
จำเลยฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนยิง และเจ้าพนักงานยึดหัวกระสุนปืนได้จากศพผู้ตายทั้งสอง แม้จะไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายทั้งสองมาเป็นของกลาง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงปราศจากข้อสงสัย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา7, 72 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ต้องไม่เกินประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์ หากเกินถือเป็นการพิพากษานอกเหนือประเด็น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดพิพาทเฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ3 งาน 82 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง และผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่ผู้คัดค้านครอบครองอยู่เนื้อที่ 1 งาน 63 ตารางวาส่วนผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ ดังนี้ประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียงตามคำขอในฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านคือที่ดินซึ่งมีเนื้อที่เพียง 1 งาน 63 ตารางวาการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอเสียทั้งหมด จึงเป็นการไม่ถูกต้องมีผลเท่ากับเป็นการพิพากษายกคำร้องขอเกี่ยวกับที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ 2 งาน19 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 1382 ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องด้วย เป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้เสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาผิดประเด็นอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้คำพิพากษาเพื่อความถูกต้องและสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดพิพาทเฉพาะส่วนเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 82 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่ผู้คัดค้านครอบครองอยู่เนื้อที่ 1 งาน 63 ตารางวาส่วนผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ ดังนี้ประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์คงมีเพียงตามคำขอในฟ้องอุทธรณ์ของผู้คัดค้านคือที่ดินซึ่งมีเนื้อที่เพียง 1 งาน 63 ตารางวา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอเสียทั้งหมด จึงเป็นการไม่ถูกต้องมีผลเท่ากับเป็นการพิพากษายกคำร้องขอเกี่ยวกับที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ 2 งาน 19 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 1382 ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องด้วย เป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก่เสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6344/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อนหรือไม่เมื่อฟ้องแบ่งมรดกจากจำเลยผู้จัดการมรดก โดยอ้างการโอนที่ดินมรดกคนละแปลงให้บุคคลอื่น
คดีก่อนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ต.โอนที่ดินมรดกส่วนหนึ่งของ ต. ให้แก่ จ. โดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับ จ. และนำที่ดินมาแบ่งแก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาท ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ต. โอนที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้จำเลยที่ 2 โดยมิชอบ ขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนำที่ดินดังกล่าวมาแบ่งแก่ทายาท แม้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ทั้งสองคดีจะฟ้องจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นทายาทและขอให้แบ่งมรดกของ ต. แต่มูลคดีฟ้องเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินมรดกคนละแปลงโอนให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ชอบคนละคราวกัน ซึ่งถือได้ว่ามิใช่เรื่องเดียวกันจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6194/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับความรับผิดของจำเลยที่ 3-5 หลังจำเลยที่ 1-2 ชำระหนี้ครบถ้วน แม้โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกาก็ไม่มีประโยชน์
โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ดังนั้น ความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ 3ถึงที่ 5 ต้องร่วมรับผิดด้วยนั้นจึงได้ระงับสิ้นไปโดยการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว แม้โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกาก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ในอันที่จะบังคับเอาสิ่งใดจากจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้อีกจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป
of 369