คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 340 ตรี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 164 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2894/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการชิงทรัพย์: บทบาทของผู้ขับขี่ที่พาผู้เสียหายไปยังที่เกิดเหตุ
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ออกนอกเส้นทางพาผู้เสียหายไปที่เกิดเหตุ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 คอยอยู่แล้วปล่อยให้ผู้เสียหายอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่ได้อยู่คอยช่วยเหลือจำเลยที่ 2 จึงยังไม่ถือว่าเป็นตัวการร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหาย เป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะ: การพิจารณาโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
จำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยคนร้ายซึ่งเป็นพวกของจำเลยคนหนึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้อาวุธปืน ดังนี้ จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น ศาลจะนำ ป.อ. มาตรา340 ตรี มาประกอบการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง เพื่อให้ต้องรับโทษหนักขึ้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเพื่อกระทำผิดแต่อย่างใด
ขณะที่จำเลยกับพวกมาทำการปล้นทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถของผู้เสียหายเอง โดยผู้เสียหายนั่งไปด้วย จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมของกลางบังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถของผู้เสียหายไป ระหว่างที่จำเลยขับรถไป พวกจำเลยก็บังคับผู้เสียหายให้ปลดทรัพย์ให้ การที่จำเลยขับรถไปเป็นการขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2547/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปล้นทรัพย์โดยขู่เข็ญด้วยกำลังประทุษร้าย: การกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยกับพวกประมาณ 6 - 7 คน นั่งเรือแล่นมาเทียบเรือผู้เสียหาย ซึ่งมีผู้เสียหายกับ น. นั่งอยู่แล้วพวกจำเลยคนหนึ่งคว้าโคมไฟเรือของผู้เสียหายทิ้งลงน้ำ ผู้เสียหายตกใจกระโดดหนีลงน้ำ แล้วคนร้ายอีกคนหนึ่งชักมีด-ปลายแหลมออกมาและพูดว่า อย่าหนีนะ หนีแล้วตาย น.จึงกระโดดลงน้ำหนีไปด้วยจากนั้นจำเลยกับพวกใช้เรือลากจูงเรือผู้เสียหายไป ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันลักทรัพย์ โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เป็นความผิดฐานปล้น-ทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4665/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปล้นทรัพย์: หลักฐานจากคำรับสารภาพประกอบพยานหลักฐานอื่น, ยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิดต้องริบ
ถึงแม้โจทก์จะไม่มีพยานเห็นตัวคนร้ายที่เป็นคนยิง ไม่ได้อาวุธปืนจากจำเลย ไม่พบปลอกกระสุนและร่องรอยการยิงปืนของคนร้ายในที่เกิดเหตุ โจทก์ก็มี ป. ผู้เสียหาย กับ ข. ผู้ใหญ่บ้านที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า คนร้ายยิงปืนขึ้นก่อนผู้เสียหายจึงได้ยิงปืนสวนไป กับมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย-ทั้งสาม ซึ่งจำเลยทั้งสามให้การไว้ใจความตรงกันในเบื้องต้นว่า มีเสียงปืนดังขึ้นที่รถยนต์ของจำเลยก่อน จากนั้นมีเสียงปืนทางอื่นยิงมาที่รถยนต์ของจำเลย ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจว่า น. ผู้ตาย ซึ่งเป็นพวกของจำเลยทั้งสามเป็นคนยิงปืน ส่วนจำเลยที่ 3 เห็นและรู้ว่า น. มีปืนมาก่อนเกิดเหตุ ที่จำเลยทั้งสามอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับสารภาพก็ดี ให้จำเลยที่ 3 ลงชื่อในบันทึกคำให้การโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังก็ดี จำเลยทั้งสามมีแต่ตนเองเบิกความลอย ๆ ภายหลัง เมื่อโจทก์มีพนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามมิได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ เชื่อว่าชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจและตามความสัตย์จริง คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามจึงเป็นหลักฐานประกอบถ้อยคำของ ป. และ ข. พยานโจทก์ ฟังได้ว่าขณะเมื่อจะยกเครื่องยนต์รถไถนาของผู้เสียหายขึ้นบรรทุกรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เพื่อจะขนเอาไป ซึ่งเป็นเวลาที่การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอนลงนั้น จำเลยทั้งสามกับพวกได้กระทำการประทุษร้ายขู่เข็ญผู้เสียหายกับพวกด้วยการยิงปืนขึ้นหนึ่งนัด การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวกจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการปล้นทรัพย์เป็นทรัพย์ที่พึงต้องริบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์ผู้เสียหาย-จำเลย และระยะเวลาแจ้งความ เป็นเหตุให้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง 17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4063/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิด: ฎีกาเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ของกลางที่ศาลสั่งคืนไปแล้ว
คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 2 คัน แล่นไล่ตามและขับปาดหน้ารถจักรยานยนต์ผู้เสียหายให้หยุด เพื่อทำการปล้นรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายรถจักรยานยนต์ของกลางทั้ง 2 คัน เป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงต้องริบตามกฎหมาย แต่เมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางคันหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งคืนให้เจ้าของที่แท้จริงไปแล้ว และคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาย่อมให้ริบเฉพาะรถจักรยานยนต์ของกลางคันที่เหลืออยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ฎีกาแก้ฟ้องได้ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว และไม่ได้ตัวมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาและภาพถ่ายการชี้ตัวผู้ต้องหา ที่ผู้เสียหายเป็นผู้ชี้เป็นพยานต่อศาลว่า ผู้เสียหายจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้พยานโจทก์ที่เหลือมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นแจ้งข้อหา บันทึกการนำชี้เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าได้ให้การรับสารภาพดังกล่าวเพราะถูกขู่บังคับและทำร้าย แม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนผู้ดำเนินการตามเอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวมาเป็นพยานประกอบ พยานหลักฐานโจทก์ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: ศาลลงโทษตามความผิดที่รวมอยู่ด้วยได้
บันทึกการจับกุมที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงชื่อ 16 คน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงชื่อในบันทึกการจับกุมทั้งหมดจะไปร่วมจับกุมด้วยหรือไม่แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน ร่วมทำการจับคนร้ายจริง แม้บันทึกบางส่วนจะไม่เป็นจริง ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์เสียไป
จำเลยเข้าแย่งกระเป๋าจากผู้เสียหาย นาย อ.ซึ่งนั่งติดกับผู้เสียหายได้ช่วยเหลือผู้เสียหาย ในขณะที่มีการแย่งกระเป๋ากันอยู่ จำเลยก็อยู่ใกล้นาย อ.ทั้งมือจำเลยก็ไม่มีอะไรขัดขวางไม่ให้เคลื่อนไหว จำเลยย่อมมีโอกาสยิง นาย อ.ตรงส่วนใดของร่างกายก็ได้ การที่จำเลยยิงที่มือนาย อ.เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าประสงค์จะให้นาย อ.ปล่อยกระเป๋า มิใช่ประสงค์จะฆ่านาย อ. จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 296 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 289, 339, 340 ตรีทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ.มาตรา 296ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในการกระทำข้อหาพยายามฆ่า ศาลมีอำนาจลงโทษตามความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปล้นทรัพย์มีผลถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืน หากข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องความผิดฐานอื่นได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืน พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แม้ว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในการยกฟ้องความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนเมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืน พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แม้ว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม.
of 17