พบผลลัพธ์ทั้งหมด 258 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2710/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องกู้ยืมที่ไม่สมบูรณ์: ประเด็นการต่อสู้เรื่องนิติกรรมอำพราง และหน้าที่การนำสืบพยานของจำเลย
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลหนี้ตามสัญญากู้ยืม จำเลยให้การว่ามิได้กู้ยืมกันจริงหากแต่ทำสัญญากู้ยืมไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ค่าก่อสร้างบ้านที่จำเลยผู้ว่าจ้างต้องชำระให้แก่สามีของโจทก์ผู้รับจ้าง ดังนี้เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยมิได้รับเงินตามสัญญากู้และสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งตรงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในชั้นชี้สองสถาน ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากคำแถลงของโจทก์ว่า เมื่อก่อสร้างบ้านแล้วจึงทำหนังสือกู้ไว้ คงมีความหมายเพียงว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมมีที่มาจากมูลหนี้ค่าก่อสร้างบ้านเท่านั้น มิใช่เป็นการรับว่ามูลหนี้ตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางตามที่จำเลยต่อสู้ทั้งประเด็นข้อนี้ก็เกิดจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงต่อไป ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2641/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแจ้งข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงาน: ปัญหาการรับแจ้งข้อความตามความเป็นจริง
จำเลยแจ้งข้อความต่อ บ. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้ช่วยนายทะเบียนตำบลว่าเด็กหญิง ธ. เป็นบุตรของตนเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ดอันเป็นความเท็จ เพราะเด็กหญิง ธ. เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยกรอกข้อความดังกล่าวลงในแบบฟอร์ม ใบรับแจ้งความการเกิดเอง โดย บ. มิได้แนะนำ ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นอาจารย์ใหญ่ย่อมทราบดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ จำเลยจึงมีเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2641/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแจ้งเท็จการเกิดต่อเจ้าพนักงาน แม้ผู้แนะนำปฏิเสธ การกระทำโดยรู้ว่าเป็นเท็จมีเจตนา
จำเลยแจ้งข้อความต่อ บ. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้ช่วยนายทะเบียนตำบลว่าเด็กหญิง ธ. เป็นบุตรของตนเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ดอันเป็นความเท็จ เพราะเด็กหญิง ธ. เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยกรอกข้อความดังกล่าวลงในแบบฟอร์มใบรับแจ้งความการเกิดเอง โดย บ. มิได้แนะนำ ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นอาจารย์ใหญ่ย่อมทราบดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จจำเลยจึงมีเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: ตัวการหรือผู้สนับสนุน, ปริมาณสารบริสุทธิ์และบทลงโทษ
เฮโรอีนของกลางอยู่ในกระเป๋าเดินทางของจำเลย จำเลยเตรียม จะนำออกไปนอกราชอาณาจักรไทยพร้อมกับจำเลย โดยจำเลยมีหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินพร้อมที่จะเดินทางโดยมีกระเป๋าบรรจุเฮโรอีนของกลางไปด้วยเช่นนี้ จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองเฮโรอีนของกลางอันถือได้ว่าเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่.
เฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 1,297 กรัม ซึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติ ว่าการผลิตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่ายหาได้ไม่.
เฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 1,297 กรัม ซึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติ ว่าการผลิตนำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่ายหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: การพิสูจน์เจตนาและปริมาณที่เข้าข่ายความผิด
เฮโรอีนของกลางอยู่ในกระเป๋าเดินทางของจำเลย จำเลยเตรียมจะนำออกไปนอกราชอาณาจักรไทยพร้อมกับจำเลย โดยจำเลยมีหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินพร้อมที่จะเดินทางโดยมีกระเป๋าบรรจุเฮโรอีนของกลางไปด้วยเช่นนี้ จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองเฮโรอีนของกลางอันถือได้ว่าเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หาใช่เพียงผู้สนับสนุนไม่ เฮโรอีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 1,297 กรัม ซึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไป ให้ถือว่าผลิต นำเข้าส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยจะเถียงว่าไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่ายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาของผู้ที่ถูกหลอกลวงให้ช่วยชักชวนลงทุน และไม่มีส่วนรู้เห็นในการฉ้อโกง
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มาสอบถามจำเลยที่ 7 และที่8 เพื่อประสงค์จะเล่นแชร์น้ำมันชาร์เตอร์ เอง เพราะทราบข่าวจากผู้อื่น หาใช่จำเลยที่ 7 และที่ 8 เอา ความเท็จไปพูดหลอกลวงโจทก์ทั้งสามแต่แรกไม่ การที่จำเลยที่ 7ซึ่งเป็นหัวหน้าสายของบริษัทชาร์เตอร์ ฯ จำเลยที่ 1 หาเงินมาลงทุนให้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 สามีของจำเลยที่ 7 ได้พูดถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นบริษัทที่มั่นคง มีหลักทรัพย์เป็นพันล้านบาท มีกิจการน้ำมันและศูนย์การค้าใหญ่โตให้โจทก์ทั้งสามฟัง ก็เป็นการบอกเล่าตามข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามเชื่อตามคำโฆษณาของจำเลยที่ 1 ประกอบด้วยทุนจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 กำหนดไว้เป็นจำนวน 1,000 ล้านบาท นับว่าเป็นจำนวนทุนที่ มาก พอสมควรที่สามารถทำให้ประชาชนทั่วไปเชื่อถือฐานะของจำเลยที่ 1 แม้แต่โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นปัญญาชนมีการศึกษาดียังเชื่อถือถึงกับขวนขวายหาทางเข้าไปร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ยังชักชวนโจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรชายให้ร่วมเล่นแชร์รายนี้ด้วย นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังมีหลักฐานสัญญาการลงทุนกับจำเลยที่ 1 เป็นเงินประมาณ 4,550,000 บาท เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ล้ม จำเลยก็ไม่ได้รับผลประโยชน์และต้นเงินที่ร่วมลงทุนคืนจำเลยที่ 7 และที่ 8 ไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในบริษัทจำเลยที่ 1ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนแบ่งจากจำนวนเงินที่ประชาชนนำมาร่วมลงทุน ต่อมาเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ฉ้อโกงประชาชน จำเลยที่ 7 และที่ 8 ก็ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกับประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เช่นนี้การที่จำเลยที่ 1 ไม่จ่ายเงินที่ลงทุนคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ จะสันนิษฐานเอาว่าจำเลยที่ 7 และที่ 8 ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมลงทุนแชร์น้ำมันที่ถูกหลอกลวง: จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นฉ้อโกง
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มาสอบถามจำเลยที่ 7 ที่ 8 เพื่อประสงค์จะเล่นแชร์น้ำมันชาร์เตอร์เอง เพราะทราบข่าวจากผู้อื่นหาใช่จำเลยที่ 7 และที่ 8 เอาความเท็จไปพูดหลอกลวงโจทก์ทั้งสามแต่แรกไม่ การที่จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นหัวหน้าสายของบริษัทชาร์เตอร์ฯ จำเลยที่ 1 หาเงินมาลงทุนให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 8 สามีของจำเลยที่ 7 ได้พูดถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นบริษัทที่มั่นคง มีหลักทรัพย์เป็นพันล้านบาท มีกิจการน้ำมันและศูนย์การค้าใหญ่โตให้โจทก์ทั้งสามฟัง ก็เป็นการบอกเล่าตามข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองเชื่อตามคำโฆษณาของจำเลยที่ 1 ประกอบด้วย ทุนจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 กำหนดไว้เป็นจำนวน 1,000ล้านบาท นับว่าเป็นจำนวนทุนที่มากพอสมควรที่สามารถทำให้ประชาชนทั่วไปเชื่อถือฐานะของจำเลยที่ 1 แม้แต่โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นปัญญาชนมีการศึกษาดี ยังเชื่อถือถึงกับขวนขวายหาทางเข้าไปร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ยังชักชวนโจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรชายให้ร่วมเล่นแชร์รายนี้ด้วย นอกจากนี้จำเลยทั้งสองยังมีหลักฐานสัญญาการลงทุนกับจำเลยที่ 1 เป็นเงินประมาณ 4,550,000 บาท เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ล้ม จำเลยก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ และต้นเงินที่ร่วมลงทุนคืน จำเลยที่ 7 และที่ 8 ไม่มีตำแหน่งใด ๆ ในบริษัทจำเลยที่ 1 หรือมีส่วนแบ่งจากจำนวนเงินที่ประชาชนนำมาร่วมลงทุน ต่อมาเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ฉ้อโกงประชาชนจำเลยที่ 7 และที่ 8 ก็ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกับประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 ไม่จ่ายเงินที่ลงทุนคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ จะสันนิษฐานเอาว่าจำเลยที่ 7และที่ 8 ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินเกี่ยวกับทายาท ทำให้เกิดความเสียหายต่อกรมที่ดินและทายาทอื่น
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอรับมรดกที่ดินมีโฉนด แล้วจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำและยืนยันรับรองบัญชีเครือญาติต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินที่สอบสวนที่ดินมรดกว่า ผู้ตายมีทายาทเพียง 4 คน คือ จำเลยทั้งสี่ อันเป็นเท็จซึ่งความจริงจำเลยทั้งสี่ต่างทราบดี อยู่แล้วว่าผู้ตายยังมีบุตรสาวอีก 2 คน เป็นทายาทโดยธรรม เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ทำให้กรมที่ดินและบุตรสาวอีก 2 คน ของผู้ตายเสียหาย จำเลยทั้งสี่ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จในวันที่กระทำความผิดนั้นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับทายาท ทำให้เกิดความเสียหายต่อกรมที่ดินและทายาทอื่น
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอรับมรดกที่ดินมีโฉนดแล้วจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำและยืนยันรับรองบัญชีเครือญาติต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินที่สอบสวนที่ดินมรดกว่า ผู้ตายมีทายาทเพียง4 คน คือ จำเลยทั้งสี่ อันเป็นเท็จ ซึ่งความจริงจำเลยทั้งสี่ต่างทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ตายยังมีบุตรสาวอีก 2 คนเป็นทายาทโดยธรรมเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ตามคำขอของจำเลยทั้งสี่ ทำให้กรมที่ดินและบุตรสาวอีก2 คน ของผู้ตายเสียหาย จำเลยทั้งสี่ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จในวันที่กระทำความผิดนั้นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2141/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตจงใจเท็จเพื่อรับมรดก ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อ เจ้าพนักงานที่ดินขอรับมรดกที่ดินมีโฉนด แล้วจำเลยทั้งสี่ให้ถ้อยคำและยืนยันรับรองบัญชีเครือญาติต่อ เจ้าหน้าที่ที่ดินที่สอบสวนที่ดินมรดกว่า ผู้ตายมีทายาทเพียง 4 คน คือ จำเลยทั้งสี่ อันเป็นเท็จ ซึ่ง ความจริงจำเลยทั้งสี่ต่าง ทราบดี อยู่แล้วว่าผู้ตายยังมีบุตรสาวอีก 2 คน เป็นทายาทโดยธรรม เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ตาม คำขอของจำเลยทั้งสี่ทำให้กรมที่ดินและบุตรสาวอีก 2 คน ของผู้ตายเสียหาย จำเลยทั้งสี่ย่อมมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จในวันที่กระทำความผิดนั้นเอง.