พบผลลัพธ์ทั้งหมด 258 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3161/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอมโดยอายุความและการครอบครองเพื่อประโยชน์ใช้สอย กรณีทางพิพาทที่ใช้ต่อเนื่องกว่า 10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอม โดยบรรยายถึงความเป็นมาและสภาพที่ดินโจทก์จำเลยว่ามีอาณาเขตติดต่อกันและติดต่อกับที่ดินแปลงอื่นอย่างไร มีทางใช้เข้าออกที่ดินของโจทก์ที่ใดบ้าง และกล่าวถึงเหตุผลที่ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมและทางจำเป็นอย่างไร กับแนบแผนที่สังเขปมาท้ายฟ้องโดยแผนที่ดังกล่าวได้ระบายสีพร้อมทั้งมีบันทึกและเครื่องหมายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินโจทก์จำเลยกับทางพิพาทและเครื่องหมายแสดงทิศไว้ด้วย ซึ่งเมื่อดูประกอบกันแล้วสามารถเข้าใจได้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยเฉพาะจำเลยซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์จะต้องเข้าใจได้เป็นอย่างดี ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์เดินผ่านทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาที่จะใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอดมาโจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3161/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม-ภารจำยอม: ศาลฎีกาวินิจฉัยแผนที่ประกอบคำฟ้องชัดเจนเพียงพอ ไม่เคลือบคลุม และสิทธิภารจำยอมเกิดจากอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยเปิดทางเดินซึ่ง ผ่านที่ดินจำเลยเนื่องจากทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอม โดย บรรยายถึง ความเป็นมาและสภาพของที่ดินโจทก์จำเลยว่ามีอาณาเขตติดต่อ กันและติดต่อ กับที่ดินแปลงอื่นอย่างไร มีทางใช้ เข้าออกที่ดินของโจทก์ที่ใด บ้าง และกล่าวถึง เหตุผลที่ทางพิพาทตก เป็นภารจำยอมและทางจำเป็นอย่างไร กับแนบแผนที่สังเขปมาท้ายฟ้อง ซึ่ง แผนที่ดังกล่าวได้ระบายสีพร้อมทั้งมีบันทึกและเครื่องหมายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินโจทก์จำเลยกับทางพิพาท และเครื่องหมายแสดงทิศไว้ด้วยซึ่ง เมื่อดู ประกอบกันแล้ว สามารถเข้าใจได้ แจ้งชัดซึ่ง สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โดยเฉพาะ จำเลยซึ่ง มีที่ดินอยู่ติด กับที่ดินของโจทก์ จะต้อง เข้าใจได้ เป็นอย่างดีฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์เดิน ผ่านทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ด้วย ความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาที่จะใช้ เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอด มา โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท โดย อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วย มาตรา 1382.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3161/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องภารจำยอมและทางจำเป็น: ฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อมีแผนที่ประกอบชัดเจน และอายุความภารจำยอม
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยเปิดทางเดินซึ่งผ่านที่ดินจำเลยเนื่องจากทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภารจำยอม โดยบรรยายถึงความเป็นมาและสภาพของที่ดินโจทก์จำเลยว่ามีอาณาเขตติดต่อกันและติดต่อกับที่ดินแปลงอื่นอย่างไร มีทางใช้เข้าออกที่ดินของโจทก์ที่ใดบ้าง และกล่าวถึงเหตุผลที่ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมและทางจำเป็นอย่างไร กับแนบแผนที่สังเขปมาท้ายฟ้อง ซึ่งแผนที่ดังกล่าวได้ระบายสีพร้อมทั้งมีบันทึกและเครื่องหมายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินโจทก์จำเลยกับทางพิพาท และเครื่องหมายแสดงทิศไว้ด้วย ซึ่งเมื่อดูประกอบกันแล้ว สามารถเข้าใจได้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โดยเฉพาะจำเลยซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ จะต้องเข้าใจได้เป็นอย่างดีฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์เดินผ่านทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาที่จะใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอด มา โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382
โจทก์เดินผ่านทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาที่จะใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ตลอด มา โจทก์จึงได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท โดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3111/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถาน: สิทธิครอบครองที่ดินและขอบเขตพื้นที่บ้าน
โจทก์ร่วมอาศัยปลูกบ้านอยู่บนที่ดินของ ป. โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้อาศัยย่อมมีสิทธิครอบครองในบ้านของตน แต่หามีสิทธิครอบครองที่ดินของ ป. ด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อฟังไม่ได้ว่าบริเวณที่จำเลยเข้ามายืนอยู่เป็นบริเวณบ้านของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของโจทก์ร่วม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินและการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากคดีต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 50 บาท ถือได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีจำเลยซึ่ง มีที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248
โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์แล้ว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดย อ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 50 บาท ถือได้ ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ ไม่เกินเดือน ละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีจำเลยซึ่ง มีที่ดินติดต่อ กับที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวแก้ เป็นข้อพิพาทด้วย กรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตาม ศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดย วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248 โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน: ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 50 บาท ถือได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของสามีจำเลยซึ่งมีที่ดินติดต่อกับที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2989/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไล่ออกจากราชการเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ศาลไม่มีอำนาจเพิกถอน
นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจยืนตามมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจซึ่งเห็นชอบด้วยกับคำสั่งของกรมตำรวจที่ให้ไล่โจทก์ทั้งสองออกจากราชการและคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นที่สุดแล้ว ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวเป็นการลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ทั้งสองตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของทางราชการฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ไล่โจทก์ทั้งสองออกจากราชการได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันโดยประธานสมาคม: จำเลยที่ 2 ผูกพันรับผิดในฐานะส่วนตัว แม้เป็นประธานสมาคม
สัญญาค้ำประกันความว่า จำเลยที่ 2 ตำแหน่งประธานสมาคม จำเลยที่ 1 ขอทำสัญญาค้ำประกันว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ยืมเงินจากโจทก์จำเลยที่ 2 ขอรับรองว่า ถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 นั้น หาใช่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในนามจำเลยที่ 1 ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ยืมไม่อาจทำสัญญาค้ำประกันตนเองให้มีผลตามกฎหมายได้ ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญาและสภาพแห่งสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 รับรองหนี้จำเลยที่ 1 ถือเป็นการผูกพันส่วนตัว แม้ทำในนามประธานสมาคม
สัญญาค้ำประกันความว่า จำเลยที่ 2 ตำแหน่งประธานสมาคม จำเลยที่ 1 ขอทำสัญญาค้ำประกันว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ขอรับรองว่า ถ้าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ 1 นั้น หาใช่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในนามจำเลยที่ 1 ไม่เพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ยืมไม่อาจทำสัญญาค้ำประกันตนเองให้มีผลตามกฎหมายได้ ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนข้อสัญญาและสภาพแห่งสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว