พบผลลัพธ์ทั้งหมด 840 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2726/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนเจตนาการยึดถือครองที่ดินจากแทนโจทก์เป็นแย่งการครอบครอง ทำให้สิทธิในการครอบครองเดิมขาดอายุ
แม้เดิมจำเลยจะยึดถือที่พิพาทไว้เพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้อันเป็นการยึดถือไว้แทนโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืน จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอนคืน กรณีจึงเป็นการที่จำเลยยึดถือที่ดินพิพาทอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองคือโจทก์ แล้วจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป เป็นการแสดงเจตนาแย่งการครอบครองจากโจทก์ตลอดมา โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ย่อมหมดสิทธิจะเอาคืนซึ่งการครองครองที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2613/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน - อายุความฟ้องขับไล่ - ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นการให้การขัดแย้ง
เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3ก็วินิจฉัยให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมิได้วินิจฉัยในเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยให้การและอุทธรณ์ขัดแย้งกัน โดยในตอนแรกให้การและอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลย ส่วนในตอนหลังให้การและอุทธรณ์ว่าหากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ครอบครองมา 1 ปี แล้วคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความ คำให้การและอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคำให้การและอุทธรณ์ที่เคลือบคลุมนั้น ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2476/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองที่ดินและผลของการฟ้องแย้งก่อนหน้าต่ออายุความฟ้องร้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเพื่อตนเองมิใช่ครอบครองแทนโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 เป็นการไม่ชอบแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เดิมจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทก่อนที่โจทก์จะซื้อฝากจาก ส.เมื่อส.ไม่ใช้สิทธิไถ่คืนภายในกำหนด โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองบ้านและที่ดินพิพาท การที่จำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แต่เมื่อโจทก์มาขับไล่ให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอมออกโดยอ้างว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างส.กับโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทนับตั้งแต่วันที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ จำเลยยื่นฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่าง ส.กับโจทก์ โจทก์ในฐานะจำเลยได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2529การที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะที่เป็นโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์ แม้ฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยจะตกไปด้วยก็เป็นไปโดยผลของกฎหมายจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแย้งด้วยหาได้ไม่ คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่ลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีก่อนและในคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายื่นโดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2531 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องแย้งเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1720/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดถือแทนเจ้าของและการเปลี่ยนลักษณะการครอบครอง: การขอ สทก.1 ไม่ถือเป็นการบอกกล่าว
จำเลยอยู่ในนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ถือว่าจำเลยยึดถือนาพิพาทแทนโจทก์ การที่จำเลยไปขอให้ทางราชการออก สทก.1หรือหนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินในนาพิพาทได้ชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อโจทก์ แม้จำเลยจะไปขอให้ทางราชการออกหนังสือดังกล่าวช้านานเพียงใด โจทก์ก็ย่อมเรียกร้องเอานาพิพาทคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1166/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดิน: การครอบครองปรปักษ์ การบอกกล่าวเจตนาไม่ยึดถือแทนเจ้าของ และการฟ้องขับไล่ภายใน 1 ปี
โจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ การที่จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์และยึดถือแทนโจทก์ จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตัวจำเลยเองได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าจำเลยไม่เจตนาจะยึดถือแทนโจทก์ต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 แม้จำเลยจะได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินพิพาทของโจทก์แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งการคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทราบอันจะถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ดังนั้น เมื่อสำนักงานที่ดินมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ และกำหนดวันเวลาให้โจทก์ไปพบเจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการสอบสวนเปรียบเทียบ เมื่อโจทก์และจำเลยได้พบกันในวันดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้บอกให้โจทก์ทราบในวันนั้นแล้วว่าจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์และไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันดังกล่าวซึ่งถือได้ว่าเป็นวันที่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่ vs. สิทธิครอบครองที่ดิน: ผู้ได้รับประทานบัตรมีสิทธิใช้ที่ดินแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ดีบุกในที่พิพาท จึงมีสิทธิใช้ที่พิพาทนั้นเพื่อกิจการเหมืองแร่แต่เพียงผู้เดียว แม้ต่อมาจำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและปลูกต้นไม้ในที่พิพาท แต่เมื่อจำเลยมิใช่ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราวประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจากทางราชการ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้เข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยผลของ พระราชบัญญัติ แร่ฯ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท แม้ทางราชการจะออกทะเบียนบ้านระบุเลขที่บ้านหลังที่จำเลยเข้าไปปลูกอยู่อาศัยก็ตาม จำเลยจะนำทะเบียนบ้านมาเป็นหลักฐานอ้างสิทธิว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทยันโจทก์หาได้ไม่ เนื่องจากทะเบียนบ้านมิใช่เป็นหลักฐานแห่งการครอบครองที่ดิน การที่โจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดิน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินประทานบัตรของโจทก์จึงไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกสิทธิครอบครองคืนจากผู้แย่งสิทธิครอบครองโจทก์จึงไม่ต้องฟ้องขับไล่จำเลยภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาฟ้องแย่งการครอบครอง 1 ปี ตามมาตรา 1375 ไม่ใช่เรื่องอายุความ แต่เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง
กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 นั้น ไม่ใช่เรื่องอายุความ แต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้องเมื่อโจทก์ผู้ถูกแย่งการครอบครองไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วทันทีปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นประเด็นโดยตรง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาฟ้องแย่งการครอบครอง 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้แม้จำเลยไม่ยกขึ้นเป็นประเด็น
กำหนดเวลาให้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 นั้น ไม่ใช่เรื่องอายุความแต่เป็นกำหนดเวลาสำหรับฟ้องเมื่อโจทก์ผู้ถูกแย่งการครอบครองไม่ได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ก็ย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วทันที ปัญหาข้อนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นประเด็นโดยตรงศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์ฟ้องคดีล่าช้าเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2528 จำเลยไปยื่นคำขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยาง ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินที่ขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยางดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย จึงเป็นการที่จำเลยได้แสดงต่อเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางและบุคคลอื่นที่พบเห็นในวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 ด้วยว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทเอง และในวันที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวนั้น โจทก์ได้ไปยังที่พิพาทและเห็นหลักแนวเขตที่ดินที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางปักไว้ด้วย จึงเป็นกรณีที่ปรากฏต่อโจทก์ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 แล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาท ดังนั้นหากที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ถูกจำเลยแย่งการครอบครองแล้ว ซึ่งเพียงนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม2528 ถึงวันฟ้องคือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2529 ก็เกินกว่าปีหนึ่งแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าหนังสือของสำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 ศาลชั้นต้นไม่ได้หมายเอกสารดังกล่าวว่าโจทก์หรือจำเลยอ้าง ทั้งไม่มีการเสียค่าอ้างเอกสารด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็นำมาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องนั้น แม้ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวก็หาทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการขาดอำนาจฟ้องเนื่องจากระยะเวลาการฟ้องเกินกำหนด
ประเด็นเรื่องสิทธิครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้อุทธรณ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นเรื่องนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้แสดงโดยชัดแจ้งถึงอำนาจครอบครอง โจทก์ทราบเหตุที่โจทก์ถูกโต้แย้งการครอบครอง ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2520 และครั้งที่สองที่จำเลยไปขอออก น.ส.3 เมื่อปี 2521 และโจทก์ไปแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินอีกเมื่อปี 2524 เมื่อนับระยะเวลาที่โจทก์ทราบเหตุแห่งการแย่งการครอบครองจนถึงวันฟ้องจึงเป็นเวลาเกินหนึ่งปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.