คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1375

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 840 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3527/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนกันของเจ้าของร่วม และการยกที่ดินให้แก่ผู้อื่น โดยไม่มีเจตนาที่จะเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ
ย. ซึ่งเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยและบุตรคนอื่นของ ย. แม้จำเลยจะมีชื่อเป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินพิพาทไว้ แต่จำเลยมีหน้าที่จะต้องจัดแบ่งให้แก่บุตรทุกคนของ ย. ตามที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสามและบุตรคนอื่นของ ย. มาตั้งแต่การยกให้ กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยแย่งการครอบครองของโจทก์ทั้งสาม จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีของจำเลยมิได้ และการที่จำเลยขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสามและบุตรคนอื่นของ ย. ว่า จำเลยไม่มีเจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทไว้แทนโจทก์ทั้งสามและบุตรคนอื่นของ ย. อีกต่อไปดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3239/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: เจตนาเปลี่ยนลักษณะการยึดถือและการฟ้องเรียกคืนภายใน 1 ปี
จำเลยได้รับอนุญาตจาก ป. เข้าไปเลี้ยงโคชั่วคราวในที่ดินของป. แล้วจำเลยถือวิสาสะนำโคไปเลี้ยงในที่ดินของโจทก์คือที่พิพาทซึ่งไม่ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง แต่หลังจาก ป. ตาย จำเลยอ้างว่าได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่รวมทั้งที่พิพาทจาก ป. เมื่อเจ้าหน้าที่มารังวัดที่ดินจำเลยได้โต้แย้งโจทก์ในเรื่องดังกล่าวถือว่าจำเลยแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือมาเป็นของตนนับแต่วันรังวัดเมื่อจำเลยเข้ายึดถือครอบครองยังไม่ครบ 1 ปีดังนี้ โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครองตามป.พ.พ. มาตรา 1375.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินต่อเนื่องและการฟ้องแย่งการครอบครองเกิน 1 ปี ไม่ขาดอายุความ
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ครอบครองตลอดมา การที่จำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทจึงเป็นเพียงการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ได้เข้าไปแย่งการครอบครองที่พิพาท แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยหลังจากจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและการฟ้องแบ่งแยกที่ดิน แม้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ก็ยังสามารถฟ้องได้หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงการยึดถือ
โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันมาก่อนเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาของโจทก์จำเลย เมื่อบิดาถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยได้รับโอนมรดกเป็นเจ้าของร่วมกัน คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนั้นแล้ว จำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจำเลยจะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381จำเลยก็จะอ้างระยะเวลาหนึ่งปีมาเป็นข้อตัดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ของโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและการฟ้องแบ่งแยกที่ดิน แม้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วก็ยังมีสิทธิฟ้องได้หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือ
โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันมาก่อนเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาของโจทก์จำเลย เมื่อบิดาถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยได้รับโอนมรดกเป็นเจ้าของร่วมกัน คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนั้นแล้ว จำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจำเลยจะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 จำเลยก็จะอ้างระยะเวลาหนึ่งปีมาเป็นข้อตัดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375ของโจทก์หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและการฟ้องแบ่งแยกที่ดิน คำพิพากษาศาลฎีกาผูกพันคู่ความ การอ้างอายุความตัดสิทธิไม่สำเร็จ
โจทก์จำเลยเคยพิพาทกันมาก่อนเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาของโจทก์จำเลย เมื่อบิดาถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยได้รับโอนมรดกเป็นเจ้าของร่วมกัน คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนั้นแล้ว จำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจำเลยจะยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 จำเลยก็จะอ้างระยะเวลาหนึ่งปีมาเป็นข้อตัดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ของโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคืนการครอบครองที่ดิน: ระยะเวลาฟ้องเมื่อจำเลยครอบครองแทนโจทก์
ระยะเวลาฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินตามป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง นั้นเป็นเรื่องแย่งการครอบครองเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนที่ดินได้ตลอดระยะเวลาที่จำเลยยังคงครอบครองที่ พิพาทแทนโจทก์อยู่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีครอบครองที่ดิน: คำฟ้องชัดเจน การครอบครองเดิม และการแย่งการครอบครอง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดิน ส.ค. 1 ที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง โดยบรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์มีอาณาเขตทิศไหนจดที่ดินของใคร และมีพื้นที่เท่าไร โจทก์ได้ครอบครองมาตลอด เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนที่ว่าอาณาเขตที่ดินของโจทก์ด้านไหนมีความกว้างยาวเท่าไร และโจทก์ได้ที่ดินมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง การที่จำเลยคัดค้านการรังวัดที่พิพาทของโจทก์ และห้ามโจทก์ถมที่พิพาทเป็นแต่เพียงการโต้แย้ง สิทธิของโจทก์เท่านั้น เมื่อจำเลยยังไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาท จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครอง และต่อมาแม้จำเลยจะได้ล้อมรั้วและปลูกถั่วในที่ พิพาทอันเป็นการแย่งการครอบครองก็ตาม เมื่อโจทก์ฟ้องคดีห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องในที่พิพาทยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินต่อเนื่องและการแย่งการครอบครอง: สิทธิของผู้ครอบครองเดิม
เดิม จ. มารดาโจทก์ กับ ล. ครอบครองที่ดินร่วมกัน ต่อมาบุคคลทั้งสองได้แยกกันครอบครองเป็นสัดส่วน โดย จ. ครอบครองที่พิพาท ส่วนที่ดินที่เหลือ ล. ครอบครอง โดยโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ จ. ยังไม่ถึงแก่กรรมตลอดมาจนถึงปัจจุบันแม้ต่อมา ล. จะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทแล้วทำนิติกรรมยกให้จำเลยทั้งสอง โดยทั้ง ล. และจำเลยทั้งสองไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเลย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: การแย่งการครอบครองต้องมีการครอบครองจริงก่อน การโอนสิทธิโดยไม่เข้าครอบครองไม่ถือเป็นการแย่งการครอบครอง
เดิมมารดาโจทก์กับ ล. ครอบครองที่ดินร่วมกัน ต่อมาได้แยกกันครอบครองเป็นสัดส่วน โดยมารดาโจทก์ครอบครองที่พิพาท ล. ครอบครองส่วนที่เหลือ โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทตั้งแต่มารดาโจทก์ยังไม่ถึงแก่กรรมตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การที่ ล. ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้งแปลงรวมทั้งที่พิพาทแล้วทำนิติกรรมยกให้จำเลยทั้งสอง โดยทั้ง ล. และจำเลยทั้งสองไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้
of 84