คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1375

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 840 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการครอบครองที่ดิน: การรับโอนสิทธิจากผู้เช่าและการเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือ
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ม.เป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ ม.ทำกับโจทก์ จำเลยรับโอนที่นาพิพาทจาก ม. ย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ ม.มีอยู่ คือมีฐานะเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์สืบต่อจาก ม. เท่านั้น จะถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ไม่ได้ จนกว่าจำเลยจะได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แต่ตามฟ้องและคำให้การไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะการยึดถือดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีทางที่จะอ้างว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองหลังคำพิพากษาถึงที่สุด: จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิเจ้าของได้อีก เมื่อคดีก่อนพิพากษาว่าเช่า
เมื่อคำพิพากษาในคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้วฟังว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่าจากบิดาโจทก์ เช่นนี้ เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นคดีใหม่ จำเลยจะยกสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2938/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองแทนเจ้าของเดิมไม่ถือเป็นการครอบครองเพื่อตนเอง
ที่พิพาทติดกับที่นาที่โจทก์เช่าจากจำเลย และอยู่ในเขตที่ดินตามเอกสารการครอบครองที่ดินของจำเลยด้วย โจทก์ได้แผ้วถางที่พิพาทแสดงการยึดถือเอาเองเป็นปรปักษ์ต่อสิทธิ์ครอบครองของจำเลย จำเลยจึงไปร้องเรียนต่ออำเภอ นายอำเภอเปรียบเทียบให้ที่ดินเฉพาะที่ปรากฏตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลย ซึ่งมีที่พิพาทรวมอยู่ด้วยเป็นของจำเลย แต่โจทก์ก็ยังมิได้ส่งมอบเพราะครอบครองอยู่ตั้งแต่เช่า ดังนี้ถือได้ว่าที่โจทก์ครอบครองต่อมานั้น เป็นการครอบครองแทนจำเลยระหว่างรอการส่งมอบ หาใช่ครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนไม่ แม้จะครอบครองมาเกินหนึ่งปี ก็ไม่ได้สิทธิ์ครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2833/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นแย่งการครอบครองที่ดินโดยศาลต้องสอดคล้องกับคำให้การของผู้ถูกฟ้อง หากไม่สอดคล้องศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาและครอบครองอยู่ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของนายเอิบ นางไข่บัวงาม หรือเป็นที่ดินที่ทางราชการหวงห้ามไว้ให้เป็นที่ว่างเปล่า และโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินกับรับโอนโดยสุจริต ดังนั้นตามคำให้การจำเลยไม่อาจมีเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่จากโจทก์จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การและไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วยกเรื่องการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2833/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยประเด็นแย่งการครอบครองที่ดิน ศาลต้องยึดตามข้อต่อสู้ของจำเลย และไม่ยกขึ้นวินิจฉัยเองหากไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านเรือนของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาและครอบครองอยู่ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของนายเอิบ นางไข่ บัวงาม หรือเป็นที่ดินที่ทางราชการหวงห้ามไว้ให้เป็นที่ว่างเปล่า และโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินกับรับโอนโดยทุจริต ดังนั้น ตามคำให้การจำเลยไม่อาจมีเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนอยู่จากโจทก์ จึงไม่มีการอ้างสิทธ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วยกเรื่องการอ้างสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่และการคุ้มครองสิทธิจากการบุกรุก รวมถึงประเด็นอายุความฟ้องร้อง
เดิมบิดาโจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ในที่พิพาทบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้รับมรดกสิทธิตามประทานบัตรโดยถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2499 ประทานบัตรนี้สิ้นอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2507 วันที่ 9 มกราคม 2507 โจทก์ขอต่ออายุ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ต่ออายุประทานบัตรให้โจทก์12 ปีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2507 เป็นต้นไปประทานบัตรของโจทก์จึงมิได้ขาดต่ออายุ จำเลยอ้างว่าพ. เข้าแผ้วถางปลูกพืชพันธ์ในที่พิพาทอยู่ 9 ปีแล้วขายให้จำเลยเมื่อปี พ.ศ. 2513 ดังนี้สิทธิของโจทก์ตามประทานบัตรจึงมีอยู่ก่อน พ. เข้าไปยึดถือครอบครอง และขณะฟ้องโจทก์ก็ยังมีสิทธิตามประทานบัตรนั้นอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาท โจทก์เสียภาษีและค่าธรรมเนียมประทานบัตรตลอดมา จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นผลอาสินทำรั้วในที่พิพาท ขอให้ขับไล่ ฟ้องเช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามสิทธิประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 ด้วย
พ. ผู้ที่จำเลยอ้างว่าได้ขายหรือมอบที่พิพาทให้จำเลยก็ดี จำเลยก็ดีเข้าไปปลูกต้นผลอาสิน สร้างรั้ว หรืออาคารลงในที่พิพาท เป็นการยึดถือครอบครองในเขตพื้นที่ประทานบัตรของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่ามีสิทธิที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนสิทธิของโจทก์ผู้ถือประทานบัตร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
การได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินเขตประทานบัตร กรณีไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองจากผู้แย่งการครอบครองจะนำเอาสิทธิฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่ ต้องปรับด้วยอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 และการพ้นอายุความก็ต้องนับแต่มีการบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาท เมื่อจำเลยเข้าไปครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้ราชการไม่สมบูรณ์หากไม่ใช้ตามวัตถุประสงค์ และการแย่งการครอบครองต้องมีพฤติการณ์ชัดเจน
ทำหนังสือไว้ต่ออำเภอว่า ยินดียกที่ดินมือเปล่าให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกสร้างสถานที่ราชการต่าง ๆ โดยไม่คิดมูลค่านั้น เป็นการจะยกที่ดินให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สร้างสถานที่ราชการเท่านั้น เมื่อทางราชการไม่ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้และไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไรในที่ดิน ก็ยังถือไม่ได้ว่าที่ดินตกเป็นของทางราชการแล้ว
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิ์ครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขต จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครอง กำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกที่ดินให้รัฐเพื่อสร้างสถานที่ราชการ และการแย่งการครอบครองที่ดิน การฟ้องเพิกถอน น.ส.3
ทำหนังสือไว้ต่ออำเภอว่า ยินดียกที่ดินมือเปล่าให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกสร้างสถานที่ราชการต่างๆโดยไม่คิดมูลค่านั้น เป็นการจะยกที่ดินให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สร้างสถานที่ราชการเท่านั้น เมื่อทางราชการไม่ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้และไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไรในที่ดิน ก็ยังถือไม่ได้ว่าที่ดินตกเป็นของทางราชการแล้ว
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขตจำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองกำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2681/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน, อำนาจฟ้อง, อายุความครอบครอง และการซื้อขายในท้องตลาด
ปัญหาว่าผู้รับมอบอำนาจฟ้องตามใบมอบอำนาจหรือไม่ และการที่โจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองนั้นเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 3(ผู้ฎีกา) ย่อมอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้
ปัญหาเกี่ยวกับใบมอบอำนาจที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็วินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ใบมอบอำนาจของโจทก์มีข้อความมอบอำนาจให้ ส.ให้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีต่อลูกหนี้ให้ส่งมอบทรัพย์สินและใช้ค่าเสียหายมีความหมายถึงให้ฟ้องและดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 3 ผู้ยึดถือรถยนต์ของโจทก์ให้ส่งมอบรถยนต์และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้
แม้ร้านค้าของจำเลยที่ 3 อยู่ในชุมชนการค้า แต่การที่จำเลยที่ 3 ซื้อรถยนต์พิพาทของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจาก ศ.ซึ่งเอามาขายให้ที่ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 นั้น จำเลยที่ 3 มิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่อยู่ในชุมชนการค้าแต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่เอามาขายให้ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 เอง จึงไม่เป็นการซื้อในท้องตลาดดังนั้นจำเลยที่ 3 จะสุจริตหรือไม่ก็เป็นเหตุให้ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332
การฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หมายถึงผู้ที่มีเพียงสิทธิครอบครองในทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินนั้นคืนจึงต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่รถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ได้เสมอโดยไม่มีอายุความ จึงจะนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2681/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน, อำนาจฟ้อง, อายุความครอบครอง และการซื้อขายในท้องตลาด
ปัญหาว่าผู้รับมอบอำนาจจะมีอำนาจฟ้องตามใบมอบอำนาจหรือไม่ และการที่โจทก์มิได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองนั้น เป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 3 (ผู้ฎีกา) ย่อมอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้
ปัญหาเกี่ยวกับใบมอบอำนาจที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็วินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ใบมอบอำนาจของโจทก์นี้มีข้อความมอบอำนาจให้ ส. ให้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีต่อลูกหนี้ให้ส่งมอบทรัพย์สินและใช้ค่าเสียหายมีความหมายถึงให้ฟ้องและดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 3 ผู้ยึดถือรถยนต์ของโจทก์ให้ส่งมอบรถยนต์และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้
แม้ร้านค้าของจำเลยที่ 3 อยู่ในชุมนุมการค้า แต่การที่จำเลยที่ 3 ซื้อรถยนต์พิพาทของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจาก ศ. ซึ่งเอามาขายให้ที่ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 นั้น จำเลยที่ 3 มิได้ซื้อจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่งที่อยู่ในชุมนุมการค้า แต่เป็นการซื้อจากบุคคลที่เอามาขายให้ที่ร้านค้าของจำเลยที่ 3 เอง จึงไม่เป็นการซื้อในท้องตลาดดังนั้นจำเลยที่ 3 จะสุจริตหรือไม่ก็ไม่เป็นเหตุให้ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1372
การฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 หมายถึงผู้ที่มีเพียงสิทธิ์ครอบครองในทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินนั้นคืนจึงต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่รถยนต์คันพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธิ์ติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336ได้เสมอโดยไม่มีอายุความ จึงจะนำมาตรา 1375 มาใช้บังคับไม่ได้
of 84