พบผลลัพธ์ทั้งหมด 840 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2486/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครอง: การเข้าทำประโยชน์สวนสาธารณะถือเป็นการแย่งการครอบครอง
สามีโจทก์เคยครอบครองที่พิพาทและแจ้งการครอบครองไว้ ต่อมาสามีโจทก์ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่นแล้วถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2504 ครั้น พ.ศ. 2507 จำเลยได้เข้าทำที่พิพาทเป็นสวนสาธารณะและดูแลรักษาตลอดมาโจทก์เพิ่งทราบถึงที่ตั้งของที่พิพาทเมื่อ พ.ศ. 2513 ดังนี้ การที่จำเลยได้เข้าไป ทำที่พิพาทให้เป็นสวนสาธารณะและดูแลรักษาตลอดมานั้น ถือได้ว่าโจทก์ ถูกจำเลยแย่งการครอบครองในที่พิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว โจทก์จึงต้องฟ้อง เอาคืนซึ่งการครอบครองเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองโจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อปี 2513 จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสองของมาตรา 1375หมายเหตุ วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2486/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการฟ้องแย่งการครอบครองที่เกินกำหนดอายุความ
สามีโจทก์เคยครอบครองที่พิพาทและแจ้งการครอบครองไว้ ต่อมาสามีโจทก์ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดอื่นแล้วถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2504 ครั้น พ.ศ. 2507 จำเลยได้เข้าทำที่พิพาทเป็นสวนสาธารณะและดูแลรักษาตลอดมา โจทก์เพิ่งทราบถึงที่ตั้งของที่พิพาทเมื่อ พ.ศ. 2513 ดังนี้ การที่จำเลยได้เข้าไปทำที่พิพาทให้เป็นสวนสาธารณะและดูแลรักษาตลอดมานั้น ถือได้ว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองในที่พิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว โจทก์จึงต้องฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อปี 2513 จึงหมดสิทธิ์ที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองในที่พิพาทดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสองของมาตรา 1375
หมายเหตุ วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519
หมายเหตุ วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2089/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่ถูกจำกัดสิทธิ โดยมิได้ยกข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ที่ให้จำเลยอาศัย ไม่ปรากฏในคำฟ้องว่า ในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งคดีอื่นที่จำเลยอ้างต่อสู้คดีว่าที่พิพาทรายนี้เป็นของวัดสุบรรณนิมิตร จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับวัดสุบรรณนิมิตรในสำนวนดังกล่าวโดยวัดสุบรรณนิมิตรให้จำเลยเช่ามีกำหนด 10 ปี อัตราค่าเช่าปีละ 30 บาทเทียบได้เท่ากับค่าเช่าเดือนละ 2.50 บาท ช่วงเวลาที่วัดให้จำเลยเช่าอยู่ระหว่างโจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงพอรับฟังว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องนั้นที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2499 มาตรา 15 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ จึงไม่ชอบ ต้องถือว่าปัญหาข้อนี้ยุติตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 หรือไม่ และกรณีไม่ได้เป็นเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ จึงนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาบังคับแก่คดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2089/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าเดิม และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ที่ให้จำเลยอาศัย ไม่ปรากฏในคำฟ้องว่า ในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งคดีอื่นที่จำเลยอ้างต่อสู้คดีว่าที่พิพาทรายนี้เป็นของวัดสุบรรณนิมิตร จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับวัดสุบรรณนิมิตรในสำนวนดังกล่าว โดยวัดสุบรรณนิมิตรให้จำเลยเช่ามีกำหนด 10 ปี อัตราค่าเช่าปีละ 30 บาท เทียบได้เท่ากับค่าเช่าเดือนละ 2.50 บาท ช่วงเวลาที่วัดให้จำเลยเช่าอยู่ระหว่างโจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงพอรับฟังว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องนั้นที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2499 มาตรา 15 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ จึงไม่ชอบ ต้องถือว่าปัญหาข้อนี้ยุติตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในปัญหาว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 หรือไม่ และกรณีไม่ได้เป็นเรื่องจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ จึงนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาบังคับแก่คดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709-1710/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มอบนาทำต่างดอกเบี้ย การเปลี่ยนลักษณะการครอบครองเป็นสำคัญ หากไม่เปลี่ยน แม้เกิน 1 ปี ก็เรียกคืนได้
มอบนามือเปล่าให้ทำต่างดอกเบี้ย เป็นการครอบครองแทน ถ้าไม่เปลี่ยนลักษณะการครอบครอง แม้เกิน 1 ปีก็เรียกคืนได้ฟ้องและคำให้การอ้างว่าซื้อและทำนาต่างดอกเบี้ย ไม่มีข้ออ้างว่ามอบนาให้ทำต่างดอกเบี้ยแล้วเปลี่ยนลักษณะการครอบครอง ไม่มีประเด็น ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาที่ว่าจำเลยขอไถ่คืน โจทก์ว่าซื้อแล้วไม่ยอมให้ไถ่ จึงฟังว่าเปลี่ยนลักษณะการครอบครองไม่ได้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า และการได้มาซึ่งสิทธิโดยอายุความครอบครอง (ปรปักษ์)
เมื่อโจทก์เข้าแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าของจำเลยไว้เพื่อตนเอง แสดงว่าโจทก์ได้ตั้งเป็นปกปักษ์แก่จำเลยและยึดถือที่พิพาทเป็นของโจทก์มาแต่นั้นแล้วการแย่งการครอบครอง จะเป็นไปโดยความสงบเปิดเผยหรือไม่มีสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อโจทก์แย่งการครอบครองมาเกินกว่า 1 ปี จำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 การที่จำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจหาว่าโจทก์บุกรุกและยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่พิพาท หาทำให้การครอบครองของโจทก์สะดุดหยุดลงไม่ เพราะจำเลยไม่ได้ฟ้องต่อศาลภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์มีสิทธิครอบครองดีกว่าจำเลย ศาลยกอายุความครอบครอบด้วยอำนาจปกปักษ์เหนือที่พิพาทของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์มีสิทธิครอบครองดีกว่าจำเลย ศาลยกอายุความครอบครอบด้วยอำนาจปกปักษ์เหนือที่พิพาทของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า และผลของการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
เมื่อโจทก์เข้าแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าของจำเลยไว้เพื่อตนเองแสดงว่าโจทก์ได้ตั้งเป็นปรปักษ์แก่จำเลยและยึดถือที่พิพาทเป็นของโจทก์มาแต่นั้นแล้วการแย่งการครอบครองจะเป็นไปโดยความสงบเปิดเผยหรือไม่ไม่สำคัญสำคัญอยู่ที่ว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อโจทก์แย่งการครอบครองมาเกินกว่า 1ปีจำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 การที่จำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจหาว่าโจทก์บุกรุกและยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่พิพาทหาทำให้การครอบครองของโจทก์สะดุดหยุดลงไม่เพราะจำเลยไม่ได้ฟ้องต่อศาลภายใน 1ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โจทก์มีสิทธิครอบครองดีกว่าจำเลยศาลยกอายุความครอบครองด้วยอำนาจปรปักษ์เหนือที่พิพาทของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โจทก์มีสิทธิครอบครองดีกว่าจำเลยศาลยกอายุความครอบครองด้วยอำนาจปรปักษ์เหนือที่พิพาทของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยได้ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังสัญญาเช่าสิ้นสุด การแจ้งการครอบครองและการยื่นคำขอทำประโยชน์ ไม่ถือเป็นการบอกกล่าวเจตนาที่จะยึดถือแทนเจ้าของ
จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่พิพาทบางส่วนของโจทก์ได้ 1 เดือน 4 วัน แล้วจำเลยที่ 1 ไปแจ้งการครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตน ต่อมาอีก 1 เดือน 8 วัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำของรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท การยื่นคำขอต่อนายอำเภอเพียงเท่านี้แม้โจทก์ทราบและคัดค้าน ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าต่อไป จำเลยหาได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ไม่
เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนและอายุความครอบครองที่ดิน: จำเลยฟ้องโจทก์ได้ แม้โจทก์ฟ้องก่อน
ในเรื่องฟ้องซ้อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง (1) นั้น กฎหมายห้ามแต่โจทก์มิให้ฟ้องจำเลย หาได้ห้ามจำเลยมิให้กลับมาฟ้องโจทก์ด้วยไม่ ไม่เหมือนกับเรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 ซึงห้ามทั้งโจทก์และจำเลยมิให้ฟ้องคดีขึ้นใหม่
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้น จำเลยจะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1273/2500)
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้น จำเลยจะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1273/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนและอายุความครอบครองที่ดิน: จำเลยฟ้องโจทก์ได้ แม้ศาลยกฟ้องคดีก่อน และสิทธิครอบครองใช้ยันคู่ความในคดีเดิมไม่ได้
ในเรื่องฟ้องซ้อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173 วรรคสอง (1) นั้น กฎหมายห้ามแต่โจทก์มิให้ฟ้องจำเลยหาได้ห้ามจำเลยมิให้กลับมาฟ้องโจทก์ด้วยไม่ ไม่เหมือนกับเรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 ซึ่งห้ามทั้งโจทก์และจำเลยมิให้ฟ้องคดีขึ้นใหม่
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้น จำเลยจะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่1273/2500)
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้น จำเลยจะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่1273/2500)