พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4121/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของกรรมการรับจ่ายเงินที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบและปล่อยปละละเลยให้เกิดการยักยอกเงิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่ จ. ยักยอกเงินไปได้เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่วางระเบียบการเก็บรักษาเงินและเบิกจ่ายเงินเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดฉวยโอกาสเอาเงินไปใช้ส่วนตัว ได้ละเลยไม่วางข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารอย่างเช่นผู้อื่นพึงปฏิบัติคือยินยอมให้ จ. เบิกเงินของทางราชการไปได้ ดังนี้คำฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่าความประมาทเลินเล่อของจำเลย ที่ 1 คือ การไม่วางข้อกำหนดหรือระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ จ. เบิกเงินของทางราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีอำนาจหน้าที่กำหนดระเบียบการเก็บรักษาเงินและการเบิกจ่ายเงิน การที่ จ. ยักยอกเงินไปได้มิใช่เพราะข้อกำหนดหรือระเบียบบกพร่องและมิใช่เพราะจำเลย ที่ 1 ยินยอมให้จ. เบิกเงินจากธนาคารได้แต่อย่างใดแต่เป็นเพราะเหตุอื่นซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ก็เข้าใจข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดีจึงให้การกล่าวแก้เช่นนั้น ส่วนข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจะต้องวางอย่างไรและการที่จำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดดังกล่าวเป็นเหตุให้จ. ยักยอกเงินไปได้อย่างไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับเงินจะต้องปฏิบัติตามระเบียบร่วมกับ จ. ให้เสร็จสิ้นทุกขั้นตอน จนถึงการโอนเงินเข้าบัญชีที่ธนาคารและจัดเก็บเอกสารให้ถูกต้องตามระเบียบการที่จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในบางขั้นตอนและจำเลย ที่ 3มิได้จัดการเกี่ยวกับเอกสารการโอนเงินให้เป็นไปตามระเบียบโดยมิได้นำเข้าเก็บรักษาในตู้นิรภัย แต่ยอมให้ จ. เก็บไว้เอง เป็นเหตุให้ จ. ยักยอกเงินของโจทก์ทั้งสี่ไปได้ถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ รากฏว่ามีการปล่อยปละละเลยให้จ. ปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวมานานก็ไม่เป็นเหตุผลที่จำเลยที่ 2ที่ 3 จะอ้าง เพื่อให้พ้นผิด จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องวางข้อกำหนดเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากธนาคาร โดยให้มีบุคคลสองหรือสามคนลงชื่อร่วมกัน ทั้งไม่ปรากฏว่าการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารของสำนักงานศึกษาธิการอำเภอก่อนหน้าจำเลยที่ 1 ย้ายมาดำรงตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอ มี วิธีการแตกต่างไปจากเมื่อจำเลยที่ 1 ย้ายมาดำรงตำแหน่งแล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดดังกล่าว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1ประมาทเลินเล่อ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3996/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลที่ไม่รับฎีกาและการอุทธรณ์คำสั่งนั้น ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่การขยายเวลายื่นฎีกา
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาและค่าทนายความที่จะใช้แทนโจทก์ออกไปอีก และต่อมามีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้น เป็นคำสั่งศาลที่เกี่ยวเนื่องกับการรับหรือ ไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เป็นเรื่องการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 อย่างเดียว เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงต้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกามายังศาลฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3966/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องทุกข์ไม่จำต้องระบุรายละเอียดความผิด และอำนาจศาลตามที่อยู่จำเลย
การร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(7) ไม่จำต้องระบุรายละเอียดในการกระทำความผิด แต่เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะสอบสวนในรายละเอียดต่อไป และแม้รายละเอียดในการร้องทุกข์จะแตกต่างกับคำบรรยายฟ้องไปบ้างก็ไม่ทำให้การร้องทุกข์เป็นไม่ชอบ แม้จำเลยจะอ้างว่าเหตุคดีนี้มิได้เกิดในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือ แต่จำเลยก็มีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลแขวงพระนครเหนือจึงมีอำนาจพิจารณาคดีได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 22(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3916/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่า: การขู่ด้วยอาวุธปืนและการเมาสุรา ไม่ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้อาวุธปืนจี้ที่ขมับผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า กูจะฆ่ามึงทิ้ง ถ้ามึงไปถึงกิ่งอำเภอเมื่อไรกูจะฆ่าเมื่อนั้น ดังนี้คำพูดของจำเลยขณะที่ใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายมีความหมายชัดเจนว่าจำเลยจะยิงผู้เสียหายเมื่อไปถึงกิ่งอำเภอไม่ใช่ยิงในขณะนั้นเป็นการกระทำในลักษณะขู่ผู้เสียหายมากกว่า หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็คงใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้เสียหายทันทีโดยไม่ต้องใช้อาวุธปืนจี้และมีการพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตเช่นนั้น ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และจำเลยกระทำในขณะเมาสุรา การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3916/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่า: การขู่ด้วยอาวุธปืนและการกระทำภายหลังเมาสุรา
จำเลยใช้อาวุธปืนจี้ที่ขมับผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่า กูจะฆ่ามึงทิ้ง ถ้ามึงไปถึงกิ่งเมื่อไรกูจะฆ่าเมื่อนั้น ดังนี้ คำพูดของจำเลยขณะที่ใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหายมีความหมายชัดเจนว่าจำเลยจะยิงผู้เสียหายเมื่อไปถึงกิ่งอำเภอไม่ใช่ยิงในขณะนั้นเป็นการกระทำในลักษณะขู่ผู้เสียหายมากกว่า หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ก็คงใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้เสียหายทันทีโดยไม่ต้องใช้อาวุธปืนจี้และมีการพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตเช่นนั้น ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และจำเลยกระทำในขณะเมาสุรา การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3896/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตขยายเวลาวางค่าธรรมเนียมศาลและคำสั่งไม่รับฎีกา: การอุทธรณ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา และค่าทนายความที่จะใช้แทนโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ออกไปอีก และต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นคำสั่งศาลที่เกี่ยวเนื่องกับการรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 หาใช่เป็นเรื่องการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 อย่างเดียว แต่อย่างใดไม่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกามายังศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3896/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลเกี่ยวกับการรับฎีกาและการขยายระยะเวลาวางค่าธรรมเนียมศาล จำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาไปยังศาลฎีกาโดยตรง
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาและค่าทนายความที่จะใช้แทนโจทก์ให้แก่จำเลย และต่อมามีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นเป็นคำสั่งศาลที่เกี่ยวเนื่องกับการรับหรือไม่รับฎีกาของจำเลย หาใช่เป็นเรื่องการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 อย่างเดียวไม่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา จำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาไปยังศาลฎีกาตามมาตรา 252 จำเลยอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3895/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องไล่เบี้ยผู้ค้ำประกัน - สิทธิไล่เบี้ยตาม ป.พ.พ. มาตรา 693 ใช้ อายุความ 10 ปี
โจทก์ทำสัญญาค้ำประกันการชำระเงินกู้ของจำเลยกับธนาคารไว้ต่อมาจำเลยผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจึงหักบัญชีเงินฝากของโจทก์โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แทนจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ไปแล้ว ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยเพื่อต้นเงินและดอกเบี้ยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 693 กรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีอาญา: ผลผูกพันและอิสระในการตกลง
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา และจำเลยที่ 1แถลงในคดีอาญาว่าตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระเงินให้โจทก์ 80,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันแถลงจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จฯโดยโจทก์ยอมถอนคำร้องทุกข์เป็นการตกลงระงับข้อพิพาทในคดีอาญาให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และการที่จำเลยที่ 1 กระทำข้อตกลงกับโจทก์ดังกล่าวข้างต้นไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีอิสระเพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อหน้าศาล ซึ่งจำเลยที่ 1มีอิสระที่จะตกลงด้วยหรือไม่ก็ได้ หามีใครบังคับไม่จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3807/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการบาดเจ็บทางร่างกายและอนามัย ถือเป็นความเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้
การที่โจทก์เสียขาไปข้างหนึ่งและต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานนับว่าเป็นความเสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของโจทก์ ถือเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446.