คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสริมพงศ์ วรยิ่งยง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2657/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้เงินที่มีการรวมดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมาย ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ หากแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยได้
จำเลยรู้เห็นยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายรวมกับต้นเงินกรอกลงในสัญญากู้ สัญญากู้จึงไม่เป็นเอกสารปลอมการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย แต่การคิดดอกเบี้ยเป็นความผิดตามกฎหมายต่างหาก ซึ่งแยกออกจากกันได้โดยถือว่าคู่กรณีไม่ประสงค์จะให้ต้นเงินสูญไปด้วย ต้นเงินเป็นส่วนที่สมบูรณ์ สัญญากู้ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ น.ส.3 ที่จำเลยมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกันการกู้ยืม ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเพราะไม่ใช่เอกสารที่แสดงในตัวเองว่ามีการกู้ยืมเงินกัน การที่โจทก์คืน น.ส.3 ดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการเวนคืนหลักฐานแห่งการกู้ยืม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2618/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้เช่าซื้อรู้เห็นการกระทำผิด ย่อมไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง แม้สัญญาเช่าซื้อยังไม่สิ้นสุด
ผู้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่ลูกจ้างของตนนำรถยนต์ของกลางที่เช่าซื้อมาไปกระทำความผิด ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แต่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงมีผลอยู่โดยผู้เช่าซื้อมีสิทธิครอบครองใช้สอยรถยนต์ของกลางอันเป็นทรัพย์ที่เช่าซื้อได้ตามสัญญา หากศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ต้องมอบต่อให้ผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ การขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อ จึงเป็นการร้องขอคืนแทนผู้เช่าซื้อซึ่งรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอคืนของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2618/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในรถยนต์เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด: ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง
ผู้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่ลูกจ้างของตนนำรถยนต์ของกลางที่เช่าซื้อมาไปกระทำความผิด ทำให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แต่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงมีผลอยู่โดยผู้เช่าซื้อมีสิทธิครอบครองใช้สอยรถยนต์ของกลางอันเป็นทรัพย์ที่เช่าซื้อได้ตามสัญญา หากศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ต้องมอบต่อให้ผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ การขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อ จึงเป็นการร้องขอคืนแทนผู้เช่าซื้อซึ่งรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอคืนของกลาง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายบ้าน - วัตถุประสงค์ของสัญญา - การผิดสัญญา - สิทธิเลิกสัญญา - การคืนเงิน
การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะซื้อขายบ้านพิพาทกับจำเลยแต่ความประสงค์แท้จริงของโจทก์ทั้งสองก็เพื่อจะซื้อบ้านพิพาทให้ อ. บุตรโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยนำสืบถึงวัตถุประสงค์ของโจทก์ในการทำสัญญา มิใช่นำสืบว่ามีข้อตกลงเป็นอย่างอื่นแตกต่างจากสัญญาอันจะเป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความรับผิดทางละเมิดนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกาพิพากษากลับ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ไว้เพียงประการเดียวว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 หรือไม่ การที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 2เป็นลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของ จำเลยที่ 1 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2414/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างถนนและการเดือดร้อนของเจ้าของบ้านใกล้เคียง ศาลฎีกาพิจารณาความเดือดร้อนเกินกว่าปกติและเหตุอันควร
การที่โจทก์ได้รับความเดือดร้อนถึงกับจะต้องใช้สิทธิเพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337 นั้น จะต้องได้ความว่าเป็นความเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรบ้านและที่ดินของโจทก์ตั้งอยู่ช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านโจทก์และจำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้เมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งบ้านและที่ดินของโจทก์ประกอบกับสภาพของถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดบังหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ประมาณ 3 เมตร ถือได้ว่าโจทก์ไม่เดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและ ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องนั้น ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเพื่อจะยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยรับว่าเช่าอาคารจากโจทก์แล้ว แต่โต้แย้งอำนาจโจทก์ในการให้เช่าและฟ้องร้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่และข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์
จำเลยรับว่าได้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์แล้ว จำเลยจะกลับมาเถียงสิทธิของโจทก์ผู้ให้เช่าว่าไม่มีอำนาจให้เช่าและไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้ จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด จำเลยก็ต้องออกไปจากอาคารพิพาท
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอาคารที่เช่า จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยทำสัญญาเช่าโดยถูกโจทก์หลอกลวงเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ ที่จำเลยฎีกาประเด็นดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอาคารพิพาทซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องให้เช่าได้เดือนละ 150 บาท และเรียกค่าตอบแทน 214,000 บาท กำหนดเวลาเช่า 10 ปี เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่กับเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยมาด้วยกัน ดังนี้ ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อคิดเฉลี่ยค่าเช่าแล้วไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ที่จำเลยอุทธรณ์เรื่องค่าเสียหายว่ามีเพียงใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่ามิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยรับว่าเช่าอาคาร แต่โต้แย้งอำนาจให้เช่าและฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกายืนตามศาลล่างและไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
จำเลยรับว่าได้เช่าอาคารพิพาทจากโจทก์แล้ว จำเลยจะกลับมาเถียงสิทธิของโจทก์ผู้ให้เช่าว่าไม่มีอำนาจให้เช่าและไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้ จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่า เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด จำเลยก็ต้องออกไปจากอาคารพิพาท โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอาคารที่เช่า จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า จำเลยทำสัญญาเช่าโดยถูกโจทก์หลอกลวงเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ ที่จำเลยฎีกาประเด็นดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากอาคารพิพาทซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องให้เช่าได้เดือนละ 150 บาท และเรียกค่าตอบแทน 214,000 บาท กำหนดเวลาเช่า 10 ปี เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่กับเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยมาด้วยกัน ดังนี้ ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อคิดเฉลี่ยค่าเช่าแล้วไม่เกินเดือนละ 2,000บาท ที่จำเลยอุทธรณ์เรื่องค่าเสียหายว่ามีเพียงใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่ามิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2153/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องมีคำขอให้บังคับโจทก์ มิใช่แค่ขอให้ศาลพิพากษาว่าสิทธิเป็นของจำเลย
ฟ้องแย้งจะต้องเป็นคำฟ้องที่มีสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์โต้แย้งสิทธิของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมอย่างไร และคำขอบังคับคือจะให้ศาลบังคับโจทก์ให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างไรในเรื่องที่ถูกโต้แย้งสิทธิ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีคำขอให้ศาลบังคับโจทก์ให้กระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างไรบ้าง ส่วนคำขอท้ายฟ้องแย้งที่ว่าขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามกรอบสีแดงท้ายฟ้องแย้งเป็นสิทธิของจำเลยนั้น หาใช่คำขอบังคับโจทก์ไม่ คำขอส่วนนี้ศาลวินิจฉัยได้ตามฟ้องเดิมอยู่แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องแย้งที่ศาลจะรับไว้พิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำผิดฐานครอบครองไม้ผิดกฎหมาย โดยเจ้าของไม้พยายามอ้างสิทธิ
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ตามที่โจทก์ จำเลยที่ 3 นำสืบว่าทั้งก่อนจับกุมและหลังจับกุม ธ. ได้พยายามขอร้องไม่ให้จับกุม และยึดไม้ที่บรรทุกรถมาอ้างว่าตนเองมีส่วนเป็นเจ้าของ และจะนำเอาไปชำระหนี้ แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ยินยอม จำเลยที่ 3กับพวกจึงถูกจับกุม และยึดไม้ของกลาง กรณีจึงน่าเชื่อว่า ธ.เป็นเจ้าของไม้ของกลาง จำเลยที่ 3 กับพวกเพียงช่วยเหลือให้ความสะดวกในการขนไม้ของกลาง ดังนี้จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 86.
of 58