คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสริมพงศ์ วรยิ่งยง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องในคดีละเมิด: ความเสียหายยังไม่แน่นอนต้องรอบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้และหลักประกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยจัดให้โจทก์รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินโดยฝ่าฝืนระเบียบ ได้ความว่าในการรับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมีการจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันกับมีบุคคลค้ำประกันทุกราย แต่โจทก์ยังไม่ได้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินที่จำนองจากลูกหนี้และผู้ค้ำประกันจึงไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ เพราะความเสียหายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการบังคับชำระหนี้เอาแก่ผู้ต้องรับผิดดังกล่าวตลอดจนทรัพย์สินที่จำนองแล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนที่โจทก์ได้ออกไป เมื่อยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากผู้ร้องมิได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นฎีกาโดยมิได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งจะต้องใช้แทนผู้คัดค้านตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไว้ก็ถือว่าเป็นฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229ประกอบมาตรา 247.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5963/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากพยายามฆ่าเป็นสนับสนุนการกระทำความผิด
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ดังนี้จะลงโทษจำเลยฐานร่วมกันพยายามฆ่าไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้อง แต่ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดได้เพราะการใช้เป็นการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่มิชอบตามกฎหมายล้มละลายและการเพิกถอนการพิจารณา
คดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่ลูกหนี้โดยวิธีปิดหมายซึ่งจะมีผลต่อเมื่อ 15 วันล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 19 และต้องให้ลูกหนี้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาไม่น้อยกว่า 7 วัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 13 การที่ศาลชั้นต้นให้เวลาน้อยกว่า7 วันและสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไป จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่กรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนัดพิจารณาคดีล้มละลายไม่ถูกต้องตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาได้
ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องไปยังลูกหนี้ให้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาคดีล้มละลายน้อยกว่า 7 วัน การนัดสืบพยานโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนัดพิจารณาคดีล้มละลายที่ไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องไปยังลูกหนี้ให้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาคดีล้มละลายน้อยกว่า 7 วัน การนัดสืบพยานโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5894/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้มีอายุความ 10 ปี และเป็นเหตุให้เข้าข่ายมีหนี้สินล้นพ้นตัว
จำเลยทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ยอมชำระหนี้แทนมารดาจำเลยโดยในวันทำบันทึกจำเลยได้มอบทั้งเงินสดและเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ดังนี้ บันทึกดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากมารดาจำเลยเป็นจำเลย การฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงที่จะชำระหนี้ให้โจทก์แทนมารดาจำเลยพร้อมทั้งแนบภาพถ่ายบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย โดยจำเลยได้ออกเช็ครวม 5 ฉบับ ชำระหนี้ให้โจทก์ ดังนี้ถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในฐานะโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คแต่เป็นการบรรยายถึงมูลหนี้เดิมว่ามีความเป็นมาอย่างไรอันเป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5894/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้, อายุความ 10 ปี, การเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ยอมชำระหนี้แทนมารดาจำเลยโดยในวันทำบันทึกจำเลยได้มอบทั้งเงินสดและ เช็คชำระหนี้ให้โจทก์ ดังนี้บันทึกดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากมารดาจำเลยเป็นจำเลย การฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าวมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ตกลงที่จะชำระหนี้ให้โจทก์แทนมารดาจำเลยพร้อมทั้งแนบภาพถ่ายบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย โดยจำเลยได้ออกเช็ครวม 5 ฉบับชำระหนี้ให้โจทก์ ดังนี้ถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในฐานะโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คแต่เป็นการบรรยายถึงมูลหนี้เดิมว่ามีความเป็นมา อย่างไรอันเป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลหนี้ตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีเนื่องจากความสับสนในการจดเวลานัด และการนำสืบพยานหลักฐานเกินขอบเขตในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ แล้วได้ขอกำหนดวันเวลานัดสืบพยานโจทก์กับพนักงานรับฟ้องโดยนัดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2525 เวลา 9 นาฬิกา แต่ทนายโจทก์ลงนัดไว้ในสมุดบันทึกของตนเองว่าเป็นนัดเวลา 13.30 นาฬิกา ครั้นเมื่อทนายโจทก์มาขอรับหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบเพื่อส่งให้แก่จำเลย ในหมายนัดดังกล่าวก็ได้ลงเวลานัดไว้ว่าเวลา 9 นาฬิกา เช่นนี้ การที่ทนายโจทก์นัดหมายให้พยานโจทก์มาศาลในวันนัดเวลา 13.30 นาฬิกาและ+มาศาลตามเวลาดังกล่าว แม้จะเกิดขึ้นเนื่องจากการสับสนจดจำผิดพลาดของหมายโจทก์ มิใช่ความผิดพลาดอันเกิดขึ้นจากตัวโจทก์เองโดยตรงก็ตาม ก็ถือว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์เป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่โจทก์จะขอพิจารณาใหม่
ในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบแสดงให้ศาลเห็นเพียงว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์นั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรเท่านั้น โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนของให้พิจารณาใหม่ก้าวล่วงไปถึงฐานะแห่งการเป็นนิติบุคคลและบุคคลผู้เป็นผู้แทนของ โจทก์กับการมอบอำนาจให้ อ.ฟ้องดำเนินคดีแทนอันเป็นประเด็นข้อที่ 1 แห่งคดีซึ่งโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในชั้นพิจารณาคดีเช่นนี้ จะนำพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาประเด็นแห่งคดีไม่ได้ เมื่อภาระการพิสูจน์ในประเด็นแห่งคดีดังกล่าวตกแก่โจทก์และโจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบแล้ว โจทก์ก็ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี จึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5755/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีโดยจงใจ และการนำสืบพยานหลักฐานไม่ตรงตามขั้นตอน ทำให้โจทก์แพ้คดี
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1ขาดนัดยื่นคำให้การ แล้วได้ขอกำหนดวันเวลานัดสืบพยานโจทก์กับพนักงานรับฟ้องโดยนัดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2525 เวลา 9 นาฬิกาแต่ทนายโจทก์ลงนัดไว้ในสมุดบันทึกของตนเองว่าเป็นนัดเวลา 13.30นาฬิกา ครั้นเมื่อทนายโจทก์มาขอรับหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบเพื่อส่งให้แก่จำเลย ในหมายนัดดังกล่าวก็ได้ลงเวลานัดไว้ว่าเวลา 9 นาฬิกา เช่นนี้ การที่ทนายโจทก์นัดหมายให้พยานโจทก์มาศาลในวันนัด เวลา 13.30 นาฬิกาและพากันมาศาลตามเวลาดังกล่าวแม้จะเกิดขึ้นเนื่องจากการสับสนจดจำผิดพลาดของทนายโจทก์ มิใช่ความผิดพลาดอันเกิดขึ้นจากตัวโจทก์เองโดยตรงก็ตาม ก็ถือว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์เป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่โจทก์จะขอพิจารณาใหม่ ในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบแสดงให้ศาลเห็นเพียงว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์นั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรเท่านั้น โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ก้าวล่วงไปถึงฐานะแห่งการเป็นนิติบุคคลและบุคคลผู้เป็นผู้แทนของโจทก์กับการมอบอำนาจให้ อ.ฟ้องดำเนินคดีแทนอันเป็นประเด็นข้อที่ 1 แห่งคดีซึ่งโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในชั้นพิจารณาคดี เช่นนี้ จะนำพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนขอให้พิจารณาใหม่ดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาประเด็นแห่งคดีไม่ได้ เมื่อภาระการพิสูจน์ในประเด็นแห่งคดีดังกล่าวตกแก่โจทก์ และโจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบแล้วโจทก์ก็ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี จึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น
of 58