พบผลลัพธ์ทั้งหมด 571 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนทรัพย์สินเป็นของตนเองโดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทายาท
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล มีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน (ไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาลกระทำหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น)ทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพราะได้มอบ-หมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดก เอกสารหลักฐานทรัพย์มรดกทั้งหมดโจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ซึ่งจำเลยก็รู้เห็น แต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองที่ดินพิพาทสูญหาย ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยอ้างว่าควรจะเป็นของจำเลยจำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 353ประกอบด้วย มาตรา 354
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์สิน อ้างความเข้าใจผิด ศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการทุจริต
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางเหลียงตามคำสั่งศาลและจำเลยเป็นทายาทโดยธรรมด้วยคนหนึ่ง ทายาทเจรจาแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างกันแต่ตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การที่จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของตน จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ประกอบด้วยมาตรา 354
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนทรัพย์สินให้ตนเองโดยทุจริต มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์และผิดหน้าที่
การเจรจาแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล จำเลยมีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน จำเลยไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว การที่จำเลย รู้ ว่าทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นที่ดินจำเลยต้องแบ่งให้แก่ทายาททุกคน เท่า ๆ กันแต่จำเลยจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตน โดยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการ ทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่ด้วยการจดทะเบียน โอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 113/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้จัดการมรดกทุจริต จดทะเบียนโอนทรัพย์สินเป็นของตนเอง เสียหายแก่ทายาท
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล มีหน้าที่จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามสิทธิของแต่ละคน (ไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาลกระทำหน้าที่ด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น) ทายาทส่วนใหญ่ไม่รู้มาก่อนว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพราะได้มอบหมายให้โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการแบ่งปันทรัพย์มรดก เอกสารหลักฐานทรัพย์มรดกทั้งหมด โจทก์ร่วมเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ซึ่งจำเลยก็รู้เห็นแต่จำเลยกลับไปแจ้งความว่าตราจองที่ดินพิพาทสูญหาย ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทน แล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวโดยอ้างว่าควรจะเป็นของจำเลย จำเลยไม่ยินยอมที่จะให้เอาชื่อทายาทอื่นเป็นผู้รับมรดกร่วมกับจำเลย แสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกด้วยการจดทะเบียนโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทเป็นของตนจึงเป็นการกระทำโดยทุจริต มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 ประกอบด้วย มาตรา 354
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยเบิกเกินบัญชี: สัญญาตกลงอัตราดอกเบี้ยสูงกว่ากฎหมายได้ หากมีข้อตกลงชัดเจน
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ จำเลยตกลงยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์สำหรับเงินที่เบิกเกินบัญชีร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินวงเงินตามสัญญาจำเลยยอมเสียร้อยละสิบเก้าต่อปี เมื่อมีการเลิกสัญญาโจทก์จึงมีเหตุตามสัญญาที่จะเรียกดอกเบี้ย ร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยหลังเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ธนาคารมีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามที่ตกลงในสัญญาได้ หากไม่ขัดกฎหมาย
หนี้เงินนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224บัญญัติให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้นตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่ทำกันไว้ จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์สำหรับเงินที่เบิกเกินบัญชีร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินวงเงินตามสัญญาจำเลยยอมเสียร้อยละสิบเก้าต่อปี เช่นนี้เมื่อมีการเลิกสัญญาโจทก์จึงมีเหตุตามสัญญาที่จะเรียกดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าครึ่งต่อปีต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การติชมด้วยความสุจริตและการแสดงความคิดเห็นโดยชอบธรรมของกรรมการศึกษาต่อครูใหญ่เกี่ยวกับการบริหารเงินบริจาค
ก่อนจำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาท ส. ซึ่งเป็นครูใหญ่ได้มีผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนเป็นเงิน 4,000 บาท แต่ ส. ลงไว้ในบัญชีรับบริจาคเพียง 1,500 บาท ทั้งไม่มีบัญชีแสดงว่าได้ใช้จ่ายเป็นค่าอะไร จำนวนเท่าใด และ ส. ก็ไม่เคยทำบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายของโรงเรียนให้คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนได้ทราบเหมือนครูใหญ่คนก่อน ๆ การกระทำของ ส. ดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการศึกษาของโรงเรียนเข้าใจไปได้ว่าส.ไม่สุจริตการที่จำเลยกล่าวแก่บุคคลที่สามว่าส. ครูใหญ่ไม่ดีหลายอย่าง กินเงินโรงเรียน แล้วยังไม่พัฒนาโรงเรียนและว่าต้องการจะเอาครูใหญ่ออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ส.โกงกินเงินของโรงเรียนที่ชาวบ้านบริจาคช่วยเหลือให้กับทางโรงเรียนครูใหญ่เป็นคนขี้โกง โกงเงินโรงเรียนไม่ว่ารายได้ใด ๆ ของโรงเรียน ส. จะโกงหมดทุกเรื่อง จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมส. ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะกรรมการศึกษาของโรงเรียนย่อมกระทำได้ ไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรมของกรรมการศึกษา โดยมีเหตุผลจากพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใสของครูใหญ่ ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
ก่อนเกิดเหตุได้มีผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนซึ่งผู้เสียหายเป็นครูใหญ่จำนวนหนึ่ง ผู้เสียหายลงจำนวนเงินไว้ในบัญชีรับบริจาคน้อยกว่าตามที่รับบริจาคมาทั้งไม่มีบัญชีแสดงว่าได้ใช้จ่ายเป็นค่าอะไรจำนวนเท่าใด ไม่เคยทำบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายของโรงเรียนให้คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนทราบเหมือนครูใหญ่คนก่อน ๆ การกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการศึกษาของโรงเรียนเข้าใจไปได้ว่าผู้เสียหายไม่สุจริต การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อบุคคลที่สามในทำนองที่ว่าผู้เสียหายทุจริตว่าเบียดบังเอาเงินของโรงเรียนไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ทำการพัฒนาโรงเรียน จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมผู้เสียหายด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะกรรมการศึกษาของโรงเรียนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6553/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกฎหมายต่างประเทศและการรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลย4 เดือน ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปีคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ร่วมเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงหรือไม่ ทั้งโต้เถียงกฎหมายอื่น ๆ ของต่างประเทศนอกจากนั้นยังโต้เถียงว่าพยานบุคคลและพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์รับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด หรือยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่นั้น เป็นการโต้เถียงถึงปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบเกี่ยวกับกฎหมายของต่างประเทศและโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6551/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์:หน้าที่โจทก์ในการส่งหมายแจ้งและสำเนาคำฟ้อง และผลของการไม่กำหนดระยะเวลา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174ที่จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องมีอยู่ 2 กรณี กรณีแรกตามมาตรา 174(1) เป็นการทิ้งฟ้องเพราะโจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอให้ส่งหมายเรียกให้แก้คดีแก่จำเลยตามมาตรา 173 วรรคแรก ซึ่งเป็นคำฟ้องในศาลชั้นต้นที่จำเลยต้องให้การแก้คดี มิใช่ฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาที่จำเลยไม่จำต้องแก้คดี กรณีที่สองเป็นเรื่องโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ตามมาตรา 174(2) ในกรณีฟ้องอุทธรณ์จำเลยจะยื่นคำแก้อุทธรณ์หรือไม่ก็ได้ จึงไม่ใช่หน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อแก้คดีตามมาตรา 173 ที่จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามมาตรา 174(1)ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์โดยให้โจทก์นำส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ แต่มิได้กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งเมื่อโจทก์มิได้นำส่งจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ตามมาตรา 174(2) หาได้ไม่