คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พนม พ่วงภิญโญ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 459 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งเรื่องเพื่อสอบสวนการเรียกร้องเงินโดยมิชอบของข้าราชการ ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อปกป้องส่วนได้เสีย
จำเลยและผู้เสียหายต่างทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดินแห่งเดียวกันการที่มีผู้ไปติดต่อขอรับมรดกที่ดินที่สำนักงานที่ดินดังกล่าวโดยได้ไปติดต่อกับผู้เสียหายก่อนแล้วจึงไปสอบถามจำเลยในลักษณะที่มีมูลทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายได้เรียกเอาเงินจากผู้ไปติดต่อ อันเป็นการมิชอบ จำเลยจึงแจ้งเรื่องให้ ศ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งของตนและของผู้เสียหายทราบเพื่อจะได้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปนั้น เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความที่ถูกกล่าวหาโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขรก.แจ้งความเท็จเพื่อป้องกันความเสียหายของหน่วยงาน ไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท หากมีเหตุเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเรียกรับเงิน
จำเลยเป็นข้าราชการประจำสำนักงานที่ดินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียผู้หนึ่ง จึงชอบที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของตนได้ การที่จำเลยแจ้งเรื่องที่ทราบมาว่าผู้เสียหายเรียกร้องเอาเงินจากผู้มาติดต่อราชการให้ ศ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั้งของตนและผู้เสียหายทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปนั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความที่ถูกกล่าวหาโดยสุจริตเพื่อความ ชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตาม ป.อ. มาตรา 329(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าเมื่อการสมรสเป็นโมฆะ: เหตุฟ้องไม่ตรงตามกฎหมาย
โจทก์เคยจดทะเบียนสมรสกับ ส. มาก่อนแล้วจึงมาจดทะเบียนสมรสกับจำเลย การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นโมฆะต่อมาโจทก์ได้ฟ้องหย่าจำเลยโดยอ้างเหตุเพียงว่าขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยโจทก์มีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว การจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่เข้าเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 ซึ่งบัญญัติถึงเหตุหย่าไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้น ศาลจึงชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้และกรณีนี้ศาลไม่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)มาใช้เพื่อพิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะได้เพราะเป็นเรื่องฟ้องโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายระบุไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าต้องอาศัยเหตุตามกฎหมายเฉพาะ แม้การสมรสจะตกเป็นโมฆะ
เหตุฟ้องหย่านั้น ป.พ.พ. มาตรา 1516 บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลยโดยอ้างเพียงว่า ขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลย โจทก์มีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะจึงไม่เข้าเหตุฟ้องหย่าตามที่กฎหมายระบุไว้ ศาลจึงชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้ และกรณีนี้ศาลไม่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(5) ขึ้นอ้างเพื่อพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันได้เพราะเป็นเรื่องที่ฟ้องโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายระบุไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าเมื่อการสมรสเป็นโมฆะ: เหตุหย่าต้องตามกฎหมายเฉพาะ
โจทก์เคยจดทะเบียนสมรสกับ ส. มาก่อนแล้วจึงมาจดทะเบียนสมรสกับจำเลย การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นโมฆะต่อมาโจทก์ได้ฟ้องหย่าจำเลยโดยอ้างเหตุเพียงว่าขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยโจทก์มีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว การจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่เข้าเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 ซึ่งบัญญัติถึงเหตุหย่าไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้น ศาลจึงชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้และกรณีนี้ศาลไม่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)มาใช้เพื่อพิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะได้เพราะเป็นเรื่องฟ้องโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายระบุไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3239/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: เจตนาเปลี่ยนลักษณะการยึดถือและการฟ้องเรียกคืนภายใน 1 ปี
จำเลยได้รับอนุญาตจาก ป. เข้าไปเลี้ยงโคชั่วคราวในที่ดินของป. แล้วจำเลยถือวิสาสะนำโคไปเลี้ยงในที่ดินของโจทก์คือที่พิพาทซึ่งไม่ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง แต่หลังจาก ป. ตาย จำเลยอ้างว่าได้ซื้อที่ดินแปลงใหญ่รวมทั้งที่พิพาทจาก ป. เมื่อเจ้าหน้าที่มารังวัดที่ดินจำเลยได้โต้แย้งโจทก์ในเรื่องดังกล่าวถือว่าจำเลยแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือมาเป็นของตนนับแต่วันรังวัดเมื่อจำเลยเข้ายึดถือครอบครองยังไม่ครบ 1 ปีดังนี้ โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครองตามป.พ.พ. มาตรา 1375.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตให้สอดเข้าเป็นจำเลยร่วมต้องแจ้งให้คู่ความคัดค้านก่อน หากไม่ปฏิบัติตามกระบวนพิจารณาเป็นโมฆะ
การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีนั้น ศาลชั้นต้นจะต้องส่งสำเนาคำร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยทั้งสองเพื่อให้มีโอกาสคัดค้านก่อนตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 21(2) และ มาตรา 57(2) แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมได้โดยมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวแต่ประการใด กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องการยื่นคำคู่ความตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 27 บัญญัติไว้ ฉะนั้นกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดำเนินมาในเรื่องการร้องสอดนับตั้งแต่การยื่นคำร้องไม่ว่าดำเนินกระบวนพิจารณาโดยศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ตลอดจนคำสั่งหรือคำพิพากษาในเรื่องนี้ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วยจำเลยร่วมจะฎีกาต่อมาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้โต้แย้งไว้ในเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยได้ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเสียให้ถูกต้องก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 247.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนา, การฟ้องคดี, ดอกเบี้ยผิดนัด: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมาย
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้
แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาและการมีอำนาจฟ้องคดีแพ่ง รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย
จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิม ที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งย้ายเข้าบ้านที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานครจึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่าจำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้านเดิม ที่จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งอยู่ในเขตศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนา, อำนาจฟ้อง, ดอกเบี้ยผิดนัด และผลของการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้ แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว.
of 46