พบผลลัพธ์ทั้งหมด 459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คชำระหนี้ตามปกติ ไม่ใช่เช็คประกันหนี้ ความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยนำเช็คของลูกค้าจำเลยมาขายโจทก์ ต่อมาโจทก์บอกให้จำเลยนำเงินไปชำระมิฉะนั้นจะให้เจ้าพนักงานตำรวจจัดการจำเลยจึงไปตรวจสอบหนี้สินกับโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 496,000 บาท จำเลยได้ชำระหนี้เป็นเงินสดบางส่วน ส่วนหนี้ที่เหลืออีก 450,000 บาท โจทก์ให้จำเลยชำระเดือนละ 45,000 บาท โดยจำเลยออกเช็คให้โจทก์ไว้เช็คที่จำเลยออกให้โจทก์จึงเป็นเช็คชำระหนีตามปกติ มิใช่เช็คออกเพื่อประกันหนี้ เมื่อขึ้นเงินหรือเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยก็ต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษโดยไม่ได้นับโทษต่อให้ โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อ ศาลฎีกาจึงไม่นับโทษต่อให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คชำระหนี้ตามปกติ ไม่ใช่เช็คประกันหนี้ จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยนำเช็คของลูกค้าจำเลยมาขายแก่โจทก์ ต่อมาได้มีการตรวจสอบหนี้สินกัน ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 496,000 บาทจำเลยได้ชำระหนี้เป็นเงินสดบางส่วน ส่วนหนี้ที่เหลืออีก 450,000บาท โจทก์ให้จำเลยชำระเดือนละ 45,000 บาท โดยจำเลยออกเช็คให้โจทก์ไว้ เช็คที่จำเลยออกให้โจทก์นี้จึงเป็นเช็คชำระหนี้ตามปกติมิใช่เช็คออกเพื่อประกันหนี้ เมื่อขึ้นเงินหรือเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยก็ต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษโดยไม่ได้นับโทษต่อให้ โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อ ศาลฎีกาจึงไม่นับโทษต่อให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คชำระหนี้ตามปกติ ไม่ใช่เช็คประกันหนี้ ความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
จำเลยนำเช็คของลูกค้าจำเลยมาขายโจทก์ ต่อมาโจทก์บอกให้จำเลยนำเงินไปชำระมิฉะนั้นจะให้เจ้าพนักงานตำรวจจัดการ จำเลยจึงไปตรวจสอบหนี้สินกับโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 496,000 บาท จำเลยได้ชำระหนี้เป็นเงินสดบางส่วน ส่วนหนี้ที่เหลืออีก 450,000 บาท โจทก์ให้จำเลยชำระเดือนละ 45,000 บาท โดยจำเลยออกเช็คให้โจทก์ไว้เช็คที่จำเลยออกให้โจทก์จึงเป็นเช็คชำระหนีตามปกติ มิใช่เช็คออกเพื่อประกันหนี้ เมื่อขึ้นเงินหรือเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยก็ต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 (1)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษโดยไม่ได้นับโทษต่อให้ โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อ ศาลฎีกาจึงไม่นับโทษต่อให้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษโดยไม่ได้นับโทษต่อให้ โจทก์ไม่ฎีกาหรือแก้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ไม่นับโทษต่อ ศาลฎีกาจึงไม่นับโทษต่อให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล แม้จะมีการระบุวันรับทราบคำสั่งในเอกสาร
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยและให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา แม้จำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 7 เมษายน2532 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยลงชื่อทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่ในคำฟ้องฎีกาดังกล่าวมีข้อความให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความ จึงต้องถือว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยมิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ
จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 เมษายน 2532 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อในคำฟ้องฎีกามีข้อความบันทึกให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความดังกล่าว กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกาให้คู่ความ
จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 เมษายน 2532 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อในคำฟ้องฎีกามีข้อความบันทึกให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความดังกล่าว กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินโดยการครอบครอง อายุความ และผลของการเสียภาษี
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า แม้โจทก์จะได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ที่พิพาทตลอดมาก็มิได้เป็นข้อสันนิษฐานว่ามีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด เมื่อจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของมานานถึง 20 ปีแล้ว จำเลยจึงได้สิทธิครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ที่ดินมือเปล่า การเสียภาษีไม่ใช่ข้อสันนิษฐานการครอบครอง
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า แม้โจทก์จะเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาก็มิได้เป็นข้อสันนิษฐานว่ามีสิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของมานานถึง 20 ปีแล้วจำเลยจึงได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งเจตนาในการกระทำผิด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลล่าง
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำอย่างไร มีเจตนาอย่างไรเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์จะได้ทรัพย์ จึงได้ทำร้ายผู้เสียหายเพื่อเอาทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยโต้เถียงว่า ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอย่างเดียวก่อน เมื่อผู้เสียหายสลบไปแล้วจำเลยจึงมีเจตนาเอาทรัพย์ไปภายหลัง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องนั้น เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4634/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของเรือต้องรับผิดชอบหากรู้เห็นเป็นใจให้ลูกเรือใช้เรือกระทำผิดกฎหมายประมง
ขณะจับกุมเรือยนต์ของกลางมีแผ่นไม้ขนาดกว้างยาว 1 เมตรสำหรับใช้วางตะแกรงคราดหอยต่อออกจากท้ายเรือ ซึ่งเรือจับปลาหมึกไม่ต้องมีไม้แผ่นนี้ และตอนเข้าจับกุมคนในเรือดังกล่าวรู้ตัวก่อนได้ตัดเครื่องมือคราดหอยทิ้งเครื่องมือคราดหอยมีลักษณะต่างจากเครื่องมือจับปลาหมึก ซึ่งหากผู้ร้องไม่ประสงค์ให้ ว. นำเรือไปกระทำความผิดโดยคราดหอยในเขตหวงห้ามจริง ผู้ร้องน่าจะไปตรวจในเรือ และเมื่อพบเครื่องมือคราดหอยก็สามารถนำออกไปจากเรือเสียได้การที่ผู้ร้องไม่กระทำดังกล่าว แต่อ้างว่าได้ห้าม ว. มิให้กระทำผิดกฎหมายเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยคดีฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจึงร้องขอคืนของกลางมิได้