พบผลลัพธ์ทั้งหมด 459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4609/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์: ศาลมีอำนาจพิจารณาได้โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขาย หากมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์
ในชั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์พิพาทไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เพราะผู้ร้องซื้อจากจำเลยแล้วและโจทก์ต่อสู้ว่าการซื้อขายทรัพย์พิพาททำขึ้นเพื่อฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นหนี้โจทก์ ราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาท้องตลาด คู่สัญญาไม่มีเจตนาทำสัญญาผูกพันกันตามกฎหมาย ทรัพย์พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ โจทก์มีสิทธิยึดได้ ประเด็นจึงมีว่าทรัพย์พิพาทยังเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลมีอำนาจชี้ขาดในคดีร้องขัดทรัพย์ได้โดยไม่ต้องให้โจทก์ไปฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายเป็นคดีใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4609/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการพิสูจน์กรรมสิทธิ์: ศาลมีอำนาจพิจารณาในคดีขัดทรัพย์ได้ แม้มีข้ออ้างเรื่องฉ้อฉล
ในชั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์พิพาทไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง เพราะผู้ร้องซื้อจากจำเลยแล้ว และโจทก์ต่อสู้ว่าการซื้อขายทรัพย์พิพาททำขึ้นเพื่อฉ้อฉลโจทก์ โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นหนี้โจทก์ ราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาท้องตลาด คู่สัญญาไม่มีเจตนาทำสัญญาผูกพันกันตามกฎหมาย ทรัพย์พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ โจทก์มีสิทธิยึดได้ ประเด็นจึงมีว่าทรัพย์พิพาทยังเป็นของจำเลยหรือไม่ ศาลมีอำนาจชี้ขาดในคดีร้องขัดทรัพย์ได้โดยไม่ต้องให้โจทก์ไปฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายเป็นคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4544/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาค้ำประกัน เริ่มนับจากวันที่เกิดละเมิด ไม่ใช่วันทำสัญญา
กฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความของสัญญาค้ำประกันไว้จึงต้องถือว่ามีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 โดยเริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 169 ซึ่งได้แก่วันเวลาแรกที่จำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย หาใช่นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การเนื่องจากความเข้าใจผิดเรื่องวันที่รับหมาย และการไม่อำนาจต่อสู้คดี
จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องในวันที่ 19 มีนาคม 2529แต่ยื่นคำให้การในวันที่ 28 มีนาคม 2529 แม้ในหมายเรียกจะเขียนไว้ว่า รับวันที่ 20 มีนาคม 2529 แต่ในชั้นไต่สวนจำเลยมิได้นำสืบว่าใครเป็นผู้เขียนและจำเลยได้รับหมายในวันที่ 20 มีนาคม 2529เมื่อจำเลยยื่นคำให้การเกินกำหนดไป 1 วัน จึงถือได้ว่าจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การเนื่องจากความเข้าใจผิดเรื่องวันรับเอกสาร การจงใจขาดนัดตามกฎหมาย
จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องในวันที่ 19 มีนาคม 2529 แต่ยื่นคำให้การในวันที่ 28 มีนาคม 2529 แม้ในหมายเรียกจะเขียนไว้ว่า รับวันที่ 20 มีนาคม 2529 แต่ในชั้นไต่สวนจำเลยมิได้นำสืบว่าใครเป็นผู้เขียนและจำเลยได้รับหมายในวันที่ 20 มีนาคม 2529 เมื่อจำเลยยื่นคำให้การเกินกำหนดไป 1 วัน จึงถือได้ว่าจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4351/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลกับประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย: การนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้นั้น แม้จะออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตาม ก็มิใช่เป็นกฎหมายที่ศาลจะรู้เองได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารจะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงประกาศดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยผู้กู้ในอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี โดยอาศัยประกาศนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4351/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อใช้บังคับในคดีแพ่ง ศาลไม่ถือเป็นกฎหมายที่รู้ได้เอง
ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้นั้น แม้จะออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตามก็มิใช่เป็นกฎหมายที่ศาลจะรู้เองได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารจะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงประกาศดังกล่าวโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากจำเลยผู้กู้ในอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี โดยอาศัยประกาศนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การเรียกรับเงินเพื่อวิ่งเต้นต่อผู้พิพากษา แม้ทำนอกศาล แต่ใช้ผู้อื่นติดต่อศาลถือเป็นความผิด
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาโดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะถูกฟ้องเป็นจำเลยมิให้ถูกศาลพิพากษาจำคุก แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะได้เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหานอกบริเวณศาล และตัวผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิได้เข้าไปในบริเวณศาลเลยก็ตาม แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ก็ได้ใช้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เข้าไปในบริเวณศาลเพื่อติดต่อกับผู้พิพากษาเพื่อประโยชน์ในการเรียกและรับเงินของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาอันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การเรียกรับเงินเพื่อวิ่งเต้นช่วยเหลือจำเลย แม้รับเงินนอกศาล แต่ใช้ผู้อื่นติดต่อผู้พิพากษาถือเป็นความผิด
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาโดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะถูกฟ้องเป็นจำเลยมิให้ถูกศาลพิพากษาจำคุก แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะได้เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหานอกบริเวณศาล และตัวผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิได้เข้าไปในบริเวณศาลเลยก็ตาม แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1ก็ได้ใช้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เข้าไปในบริเวณศาลเพื่อติดต่อกับผู้พิพากษาเพื่อประโยชน์ในการเรียกและรับเงินของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาอันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4099/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฝากเงินเพื่อเป็นประกันหนี้ ไม่ถือเป็นการจำนำ แม้มีข้อตกลงให้หักเงินจากบัญชี
เมื่อจำเลยฝากเงินไว้แก่ผู้ร้อง เงินที่ฝากย่อมตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องคงมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวน การที่จำเลยตกลงมอบเงินฝากพร้อมสมุดบัญชีเงินฝากประจำไว้แก่ผู้ร้อง ก็เพียงเพื่อเป็นประกันหนี้ที่จำเลยจะพึงมีต่อผู้ร้องเท่านั้น แม้ในหนังสือยินยอมมอบเงินฝากเป็นประกันจะมีข้อความระบุไว้ว่า เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ การที่จำเลยให้ผู้ร้องมีอำนาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยและจำเลยจะไม่ถอนเงินฝากจนกว่าผู้ร้องจะได้รับชำระหนี้โดยครบถ้วนนั้น เป็นเรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกันนั้นเอง หาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังคงเป็นของจำเลยอันผู้ร้องได้ยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่ ความตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการจำนำเงินฝากผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2611/2522).