พบผลลัพธ์ทั้งหมด 606 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยมิชอบ: ศาลฎีกายกคำร้อง เนื่องจากโจทก์มิได้แสดงเหตุผลว่าบ้านมิใช่ของผู้ร้อง
โจทก์มิได้กล่าวมาให้ชัดแจ้งว่าตามข้อเท็จจริงอย่างไรที่แสดงว่าบ้านพิพาทไม่ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเหตุใดจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งในฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้จากพยานหลักฐานว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง แล้วจึงกล่าวถึงปัญหาที่ผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้แก่จำเลยตามข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแล้วหรือไม่ตามข้อนำสืบของโจทก์อันเป็นประเด็นที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องชัดเจนในข้อหาและรายละเอียดการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากไม่ชัดเจน ศาลยกคำร้อง
คำร้องของผู้ร้องที่ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. การเลือกตั้งฯ มาตรา 32โดยไม่ได้บรรยายยืนยันข้อเท็จจริงว่าเงินที่ผู้คัดค้านทั้งสองใช้เป็นจำนวนที่แน่นอนเท่าใด คงใช้วิธีประมาณการเอาเท่านั้นและไม่ได้บรรยายว่าเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องใดเท่าใด จ่ายเมื่อใดให้แก่ใคร ส่วนที่อ้างว่าใช้เงินในการซื้อเสียงด้วยก็ไม่ได้กล่าวอ้างว่าซื้อเสียงใครจำนวนมากน้อยเท่าใด สิ้นเงินไปในการนี้เท่าใด ได้จ่ายเงินไปก่อนหรือหลังจากมีการรับสมัครเลือกตั้งจึงยังไม่พอที่จะให้ผู้คัดค้านเข้าใจข้อหาได้ คำร้องของผู้ร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งกระทำการอันใดเพื่อขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมาย เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 52 นั้น ในคำร้องคงบรรยายเพียงว่า ในวันเลือกตั้งมีกรรมการควบคุมการเลือกตั้งบางหน่วยเลือกตั้งได้ช่วย กากบาทให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้บรรยายให้ทราบว่ากรรมการควบคุมการเลือกตั้งผู้กระทำการนั้นเป็นใคร และได้กากบาทให้เป็นจำนวนคะแนนเท่าใด และจะทำให้ผลของการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ จึงยังไม่พอที่จะให้ผู้คัดค้านเข้าใจข้อหาได้ คำร้องของผู้ร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม เมื่อคำร้องของผู้ร้องที่เกี่ยวกับมาตรา 32 และมาตรา 52เป็นคำร้องที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แล้วจึงไม่อาจพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบมาในเหตุข้ออ้างทั้งสองประการได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต้องชัดเจนและมีเหตุผลตามกฎหมาย โดยเฉพาะการกล่าวอ้างเรื่องค่าใช้จ่ายและเจ้าหน้าที่ขัดขวาง
พระราชบัญญัติ ญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522หมวด 9 การคัดค้านการเลือกตั้ง บัญญัติไว้ในมาตรา 78 ว่า กรณีที่จะร้องคัดค้านการเลือกตั้งได้นั้นเฉพาะกรณีที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมีการฝ่าฝืนมาตรา 26 มาตรา 32 มาตรา 34 มาตรา 51 หรือมาตรา 52 เท่านั้น คำร้องของผู้ร้องได้กล่าวอ้างถึงการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 32 เรื่องที่ผู้ได้รับเลือกตั้งใช้เงินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทโดยไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำนวนเงินที่แน่นอนของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ใช้นั้นเป็นเท่าใด คงใช้วิธีประมาณการเอาเท่านั้นและมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่าเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องใดเท่าใด จ่ายไปเมื่อใด ให้แก่ใคร ส่วนที่กล่าวไว้ว่าใช้การซื้อเสียงด้วยเงินก็ไม่กล่าวว่าซื้อเสียงใคร จำนวนมากน้อยเท่าใดสิ้นเงินไปในการนี้เท่าใด ได้จ่ายไปก่อนหรือหลังจากมีการสมัครรับเลือกตั้งข้อกล่าวอ้างตามคำร้องจึงไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จะให้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 ซึ่งถูกกล่าวหาเข้าใจได้ดีพอที่จะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง นอกจากนั้นในคำร้องก็มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงเป็นการยืนยันให้เห็นว่า การจ่ายเงินจำนวนที่ผู้ร้องประมาณการมานั้นเป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งคงกล่าวแต่เพียงว่าใช้เงินคนละกว่าสามล้านบาทเท่านั้น คำร้องของผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุมสำหรับข้ออ้างเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งตามมาตรา 52 ผู้ร้องกล่าวในคำร้องแต่เพียงว่า ในวันเลือกตั้งปรากฏว่าที่หน่วยเลือกตั้งบางหน่วย เช่น หน่วยเลือกตั้งบ้านโคกกระดี่อำเภอตาคลี กรรมการควบคุมการเลือกตั้งได้ช่วยกากากบาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 โดยไม่ได้กล่าวว่ากรรมการควบคุมการเลือกตั้งที่กระทำการดังที่อ้างนั้นเป็นใคร จำนวนคะแนนที่อ้างว่า กากบาทให้นั้นเป็นจำนวนเท่าใด จะทำให้ผลของการเลือกตั้งเปลี่ยนไปหรือไม่ ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องไม่อาจเข้าใจได้ว่าเจ้าพนักงานคนใดกระทำอย่างนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งไม่อาจเข้าใจข้อหาและต่อสู้ข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องได้ถูกต้อง คำร้องของผู้ร้องในส่วนนี้จึงเคลือบคลุม เมื่อคำร้องของผู้ร้องเป็นคำร้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของผู้ร้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 จึงไม่อาจพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องนำสืบมาในเหตุอ้างสองประการดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการรักษาเงินสดของธนาคาร การประมาทเลินเล่อ และข้อยกเว้นความรับผิด
ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานเงินและจำเลยที่ 3 เป็นเสมียนของธนาคารโจทก์สาขาท่ามะกาจำเลยทั้งสามได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจนับและรักษาเงินสดประจำวันร่วมกัน วันเกิดเหตุภายหลังจากเอาเงินสำรองจ่ายออกมาแล้ว จำเลยทั้งสามมิได้ใส่กุญแจตู้นิรภัยพร้อมกันทั้งสามดอกทั้งมิได้ปิดประตูห้องมั่นคง มิได้ใส่กุญแจห้องมั่นคง มิได้เก็บรักษาลูกกุญแจไว้กับตนเองตลอดเวลา อันเป็นการจงใจฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งของโจทก์ซึ่งได้วางไว้ในขณะเกิดเหตุ การที่จำเลยทั้งสามฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ไม่มีการฝากถอนเงิน จึงเป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้คนร้ายใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้จำเลยที่ 2 ใช้ลูกกุญแจตู้นิรภัยซึ่งจำเลยที่ 1 ทิ้งไว้ไขตู้นิรภัยและเอาเงินสดในตู้นิรภัยไปได้ จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดดังกล่าว ตามระเบียบของโจทก์ให้พนักงานเงินยืมเงินจากผู้จัดการมาไว้สำรองจ่ายไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่งของวงเงินสดที่สำนักงานเก็บรักษาไว้ได้เป็นประจำวัน แต่ในกรณีจำเป็นผู้จัดการจะให้ยืมเกินกว่าที่กำหนดไว้ก็ได้ โดยบันทึกเหตุผลไว้ในสมุดยืมเงินแม้จำเลยที่ 2 เก็บเงินสำรองจ่ายไว้ในลิ้นชักโต๊ะจำนวนเกินระเบียบของโจทก์ แต่เพราะมีผู้ฝากเงินหลายรายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการไม่อยู่ จำเลยที่ 2 ไม่อาจนำเงินมอบผู้จัดการได้ ทั้งทางปฏิบัติเมื่อมีลูกค้ามาติดต่อฝากเงินหลายรายเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าจำเลยที่ 1 จึงอนุญาตให้จำเลยที่ 2 เก็บเงินสำรองจ่ายไว้ในลิ้นชักโต๊ะเกินกว่าจำนวนครึ่งหนึ่งของเงินในตู้นิรภัยได้ ตามระเบียบของโจทก์ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการที่จะบันทึกเหตุผลไว้ในสมุดยืมเงินในกรณีที่อนุญาตให้พนักงานเงินยืมเงินสำรองจ่ายเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเงินสดในตู้นิรภัย ไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานเงิน การที่คนร้ายสามารถเอาเงินสดในลิ้นชักโต๊ะทำงานของจำเลยเป็นผลโดยตรงจากการที่คนร้ายใช้อาวุธปืนขู่บังคับจำเลยที่ 2 ให้ต้องยอมคนร้ายเอาเงินในลิ้นชักโต๊ะไปได้ จำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดระเบียบและไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เฉพาะเงินที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะ จึงไม่ต้องรับผิดในเงินจำนวนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขัดแย้งกัน ไม่อาจฟังยุติ ต้องสืบข้อเท็จจริงตามที่ตกลงกันจริง สัญญาไม่ติดอากรแสตมป์ใช้ฟ้องได้
เมื่อข้อความในสัญญาฉบับเดียวกันขัดแย้งกันเอง ไม่อาจฟังเป็นยุติไปในทางใดได้กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีต้องนำสืบให้เห็นว่าแท้จริงแล้วได้ตกลงกันไว้อย่างไร ไม่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การจำเลยรับว่า ได้ทำสัญญาซื้อขายกันจึงไม่ใช่กรณีที่จะต้องใช้สัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานแม้สัญญาซื้อขายดังกล่าวจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็ถือว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายอ้อย: การชำระเงินขัดแย้ง การสืบพยาน และหลักฐานสัญญา
เมื่อข้อความในสัญญาซื้อขายระบุเรื่องการชำระราคาสินค้าไว้ขัดแย้งกันไม่อาจรับฟังเป็นยุติไปในทางใดได้ จึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีต้องนำสืบให้เห็นว่าแท้จริงเรื่องนี้ได้ตกลงกันไว้อย่างไรไม่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยให้การรับว่าทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ตามฟ้อง จึงไม่ใช่กรณีที่จะต้องใช้สัญญาซื้อขายเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญาซื้อขายดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็ถือว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อสัญญาขัดแย้งกัน การสืบพยานไม่เป็นการแก้ไขเอกสาร และเอกสารที่ใช้ฟ้องคดีได้แม้ไม่มีอากรแสตมป์
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายอ้อย ข้อความในสัญญาข้อหนึ่งระบุว่าผู้ขายได้รับชำระราคาค่าอ้อยไปจากผู้ซื้อในวันทำสัญญา แต่อีกข้อหนึ่งระบุว่า เมื่อผู้ซื้อตัดอ้อยส่งโรงงานเรียบร้อยแล้วผู้ซื้อจะรีบนำเงินค่าอ้อยมาชำระแก่ผู้ขาย ดังนี้เป็นกรณีที่ข้อความในสัญญาระบุถึงเรื่องการชำระเงินค่าอ้อยไว้ขัดแย้งกัน ไม่อาจรับฟังให้ยุติไปในทางใดได้ คู่สัญญาต้องนำสืบให้เห็นว่า แท้จริงเรื่องนี้ได้ตกลงกันไว้อย่างไร การที่โจทก์นำสืบว่าในวันทำสัญญาซื้อขายอ้อยไม่มีการชำระเงินกันหลังจากทำสัญญาจำเลยตัดอ้อยส่งโรงงาน 3 ครั้ง จำเลยชำระราคาอ้อยเพียง 2 ครั้งครั้งสุดท้ายยังไม่ชำระ ดังนี้ไม่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 แม้สัญญาซื้อขายหมาย จ.1 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์แต่ตามคำฟ้องและคำให้การจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาซื้อขายกันตามหมาย จ.1 จึงไม่ใช่กรณีที่จะต้องใช้เอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาบัญชีเดินสะพัด, การหักกลบลบหนี้จากเงินฝาก, และหนังสือขอเปิดบัญชีเป็นพยานหลักฐานได้
ข้อตกลงให้นำเงินฝากประจำไปหักกลบลบหนี้นั้นไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ หนังสือขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเป็นเพียงคำเสนอฝ่ายเดียวของจำเลย ในการขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ดังนั้นเอกสารฉบับนี้จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีคือสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือดังนั้น แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิธนาคารในการเบิกเงินเกินบัญชี ดอกเบี้ย การนำเงินฝากประจำมาชำระหนี้ และการฟ้องร้องบังคับคดี
จำเลยรับว่าจำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามหนังสือขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งระบุว่าจำเลยทราบประเพณีการค้าของธนาคารและระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารตามที่ได้รับไปแล้ว และจำเลยยินยอมผูกพันตามประเพณีและระเบียบการที่ได้กำหนดไว้ เช่นนี้ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันจึงรับฟังไม่ได้ ข้อตกลงที่จำเลยยอมให้โจทก์นำเงินฝากประจำของจำเลยไปชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีได้ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ หนังสือขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเป็นเพียงคำเสนอฝ่ายเดียวของจำเลยในการขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ไม่ใช่ตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ดังนั้นเอกสารดังกล่าวจะไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีคือสัญญาบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือดังนั้น แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าหากสืบพยานแล้วจำเลยมีทางชนะคดีได้
จำเลยกล่าวในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า ถ้ามีการสืบพยานแล้ว จำเลยมีทางชนะคดีได้ มิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำชี้ขาดตัดสินของศาล เพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร คำขอพิจารณาใหม่จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ศาลชอบที่จะยกคำขอให้พิจารณาของจำเลยได้