คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พัลลภ พิสิษฐ์สังฆการ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 606 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท ป.อ.มาตรา 286 และ พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี การลงโทษและขอบเขตการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเรียงกระทงความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 286 ที่แก้ไขแล้ว ให้จำคุก 7 ปี และตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ให้ปรับ 1,000 บาท รวมเป็นโทษจำคุก 7 ปี และปรับ 1,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 286ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนัก จำคุก 7 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 ปี 8 เดือนจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 การที่จำเลยเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีและดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณีของจำเลยเองนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีหมิ่นประมาท: การเชื่อมโยงคดีอาญาและแพ่ง, ระยะเวลาเริ่มต้นนับจากวันที่รู้เรื่อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่กล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยเอกสาร แม้ว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาอันเนื่องจากการกระทำเดียวกัน แต่คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 กรณีของโจทก์คดีนี้จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีหมิ่นประมาท: เริ่มนับเมื่อใด และผลของการฟ้องเกินกำหนด
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสี่หมิ่นประมาทโจทก์ด้วยเอกสาร แม้ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาอันเนื่องจากการกระทำเดียวกัน แต่คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดในขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตามป.อ. มาตรา 96 กรณีของโจทก์คดีนี้จึงไม่อยู่หลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 51 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคแรก โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่ดำเนินคดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 แสดงว่าโจทก์ต้องรู้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำการดัง ที่โจทก์กล่าวอ้างอย่างช้า ในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 5 เมษายน2528 เป็นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3032/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีหมิ่นประมาท: การแยกพิจารณาคดีอาญาและแพ่ง และระยะเวลาการฟ้องร้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่กล่าวหาว่าหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยเอกสาร แม้ว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาอันเนื่องจากการกระทำเดียวกัน แต่คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องเนื่องจากโจทก์มิได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 กรณีของโจทก์คดีนี้จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 จึงต้องใช้อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3030/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายกันจนทำให้สาธารณชนสับสน ถือเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันว่า "LUCKY"อ่านว่า "ลักกี้ " แปลว่าโชคดี ใช้กับสินค้าที่นอนสปริงในจำพวกสินค้าประเภท 50 ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมันว่า "LUXKY" อ่านว่า "ลักกี้" แปลความหมายไม่ได้ ใช้กับสินค้าที่นอนทุกชนิดในจำพวกสินค้าประเภท 41 เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมัน และจำนวนตัวอักษรเท่ากัน ตัวอักษรต่างกันเฉพาะตัวที่ 3 เท่านั้น แต่คงอ่านออกเสียงเหมือนกัน แม้สินค้าของโจทก์และจำเลยจะจดทะเบียนไว้ต่างจำพวกกันแต่ก็จดทะเบียนสินค้าในประเภทเดียวกันคือที่นอน ทั้งจำเลยก็ผลิตสินค้าประเภทที่นอนออกจำหน่ายเช่นเดียว กับโจทก์ ดังนั้นสาธารณชนย่อมหลงผิดว่า สินค้าของจำเลยคือสินค้าของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยงดใช้ เครื่องหมายการค้าคำว่า "LUXKY" และขอเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3030/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: แม้ต่างจำพวกสินค้า แต่หากสินค้าใกล้เคียงและชื่อคล้ายกันจนสับสนได้ ผู้บริโภคอาจหลงผิด
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรโรมันว่า "LUCKY"อ่านว่า "ลักกี้"แปลว่าโชคดี ใช้ กับสินค้าที่นอนสปริง ในจำพวกสินค้าประเภท 50 ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมันว่า "LUXKY" อ่านว่า "ลักกี้" แปลความหมายไม่ได้ ใช้ กับสินค้าที่นอนทุกชนิดในจำพวกสินค้าประเภท 41 เครื่องหมายการค้าของโจทก์กับเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมันและจำนวนตัว อักษรเท่ากัน ตัว อักษรต่าง กันเฉพาะตัว ที่ 3 เท่านั้น แต่ คงอ่านออกเสียงเหมือนกัน แม้สินค้าของโจทก์และจำเลยจะจดทะเบียนไว้ต่าง จำพวกกันแต่ ก็จดทะเบียนสินค้าในประเภทเดียวกันคือที่นอน ทั้งจำเลยก็ผลิตสินค้าประเภทที่นอนออกจำหน่ายเช่นเดียว กับโจทก์ ดังนั้นสาธารณชนย่อมหลงผิดว่า สินค้าของจำเลยคือสินค้าของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยงดใช้ เครื่องหมายการค้าคำว่า "LUXKY"และขอเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3020/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมและใช้เอกสารราชการหลายฉบับเป็นความผิดหลายกระทง พิจารณาจากเจตนาและประเภทเอกสาร
การปลอมเอกสารแต่ละฉบับ ผู้กระทำจะมีความผิดหลายกระทงหรือไม่ ต้องดู ที่ความมุ่งหมาย และวิธีการปลอมเอกสาร ไม่ใช่ความมุ่งหมายในการใช้เอกสารปลอม จำเลยปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมใบคู่มือจดทะเบียนรถ ปลอมแผ่นป้ายวงกลมชั่วคราว แสดงการเสียภาษีรถยนต์ซึ่งต่างเป็นเอกสารของกองทะเบียน กรมตำรวจ ต่างเป็นการปลอมเอกสารราชการ ซึ่งมีความมุ่งหมายและการแสดงความหมายของเอกสารต่างกัน มีผลสำเร็จเป็นความผิดแต่ละฉบับที่จำเลยปลอมจึงเป็นความผิดหลายกระทง ตาม ป.อ. มาตรา 264,265,91และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปใช้แม้ใช้กับรถยนต์คันเดียวกันมีเจตนาเพื่อให้เจ้าพนักงานและบุคคลทั่วไป เห็นว่ารถยนต์คันที่จำเลยขับเป็นรถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม ก็เป็นการใช้เอกสารต่างประเภทกัน เป็นความผิดหลายกระทงเช่นกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและคำพิพากษาศาลที่อาศัยข้อมูลเท็จ โจทก์ต้องแสดงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิทธิของตนเอง
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนด เลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป.ยกที่ดินเฉพาะ ส่วนของตน ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนด เลขที่ 5072ด้วย ประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดย สงบ เปิดเผย ด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อ กันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดย การแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึง สิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้ รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย. และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องกรณีเบิกความเท็จต้องเชื่อมโยงกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับ โดยข้อเท็จจริงที่นำสืบต้องอยู่ในคำฟ้อง
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องจะนำมาพิจารณาประกอบคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ เมื่อคำเบิกความของจำเลยทั้งสองบางส่วนไม่เป็นเท็จ และบางส่วนไม่ทำให้โจทก์ได้ รับความเสียหาย คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่ศาลจะประทับฟ้อง ไว้พิจารณา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเท็จต้องทำให้เกิดความเสียหายและเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้ฟ้อง จึงจะประทับฟ้องได้
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ล. ย. และ ป. ต่อมา ย. และ ป. ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยทั้งสองเบิกความเท็จในคดีก่อนเป็น 2 ประการ คือคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์ภายในที่ดินโฉนดเลขที่ 5072 ด้วยประการหนึ่งและคำเบิกความที่ว่า ย. และ ป. ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ได้ ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปีแล้ว อีกประการหนึ่งในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ได้ความว่า ย. และ ป. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวโดยการแบ่งแยกการครอบครองแล้ว ดังนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการแรกเป็นความเท็จและเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้เข้าเป็นคู่ความในคดีก่อน และคำฟ้องโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในที่ดินของ ย. และ ป. อย่างไร คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในประการที่ 2 จึงไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ และคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏเหตุที่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินส่วนของ ย.และ ป. นั้น เป็นการนำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่บางส่วนไม่เป็นเท็จบางส่วนไม่ทำให้โจทก์เสียหายเช่นนี้คดีโจทก์จึงไม่มีมูล
of 61