พบผลลัพธ์ทั้งหมด 606 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน หากเลิกจ้างแล้วค่อยขออนุญาต ศาลไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 52 นั้น นายจ้างจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อนเสมอจึงจะเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างได้ ทั้งนี้ไม่ว่ากรณีจะเป็นการเลิกจ้างจากเหตุอันใด การที่ต่อมาศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลิกจ้างในภายหลังและให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันเลิกจ้างนั้นไม่มีผลให้จำเลยพ้นผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตศาลก่อน แม้ศาลอนุญาตย้อนหลังก็ไม่ทำให้ความผิดหมดไป
ตามบทบัญญัติมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างด้วยเหตุอันใด นายจ้างจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานเสียก่อนเสมอจึงจะเลิกจ้างได้
จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อน เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ต้องรับโทษตาม มาตรา 143 และต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่วันดังกล่าว แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ร่วม และศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 ก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นความผิดอยู่แล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดไปได้
จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อน เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ต้องรับโทษตาม มาตรา 143 และต้องถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่วันดังกล่าว แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ร่วม และศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 ก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นความผิดอยู่แล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3016/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานก่อน แม้ศาลจะอนุญาตภายหลัง ก็ไม่ทำให้ความผิดนั้นสิ้นสุด
ตาม บทบัญญัติมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างด้วย เหตุอันใดนายจ้างจะต้องได้ รับอนุญาตจากศาลแรงงานเสียก่อนเสมอจึงจะเลิกจ้างได้ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมซึ่ง เป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2529 โดย มิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อนเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 ต้อง รับโทษตาม มาตรา 143 และต้องถือ ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่ วันดังกล่าว แม้ต่อมาภายหลังจำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อ ศาลแรงงานกลางขออนุญาตเลิกจ้างโจทก์ร่วมและศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ร่วมโดย ให้มีผลย้อนหลังไปถึง วันที่ 19 พฤษภาคม 2529 ก็ตาม ก็ไม่มีผลให้การกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นความผิดอยู่แล้วกลายเป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดไปได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนใบอนุญาตสื่อจากกรณีการเผยแพร่ข่าวเท็จที่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คปท.
การพาดหัวหนังสือพิมพ์ว่า "จับทูตซาอุ ฯ บงการฆ่า3 เพื่อนร่วมชาติ" ซึ่งเป็นเท็จนั้น เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามข้อ 2(6) และข้อ 4 แห่งคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 ผู้คัดค้านมีอำนาจที่จะดำเนินการแก่ผู้ร้องตามข้อ 7และปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องได้เคยถูกเตือนมาแล้ว 2 ครั้งแต่ยังฝ่าฝืนข้อ 4 ซ้ำอีก ดังนั้น ที่ผู้คัดค้านใช้ดุลพินิจสั่งถอนใบอนุญาตบรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องตามข้อ 7 วรรคสอง จึงชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาดหัวข่าวเท็จและการถอนใบอนุญาตสื่อ
การพาดหัวหนังสือพิมพ์ว่า "จับทูตซาอุ ฯ บงการฆ่า3 เพื่อนร่วมชาติ" ซึ่งเป็นเท็จนั้น เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามข้อ 2(6) และข้อ 4 แห่งคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 ผู้คัดค้านมีอำนาจที่จะดำเนินการแก่ผู้ร้องตามข้อ 7และปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องได้เคยถูกเตือนมาแล้ว 2 ครั้งแต่ยังฝ่าฝืนข้อ 4 ซ้ำอีก ดังนั้น ที่ผู้คัดค้านใช้ดุลพินิจสั่งถอนใบอนุญาตบรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องตามข้อ 7 วรรคสอง จึงชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาดหัวข่าวที่เป็นเท็จสร้างความเข้าใจผิดและขัดต่อข้อห้ามของคำสั่ง คปป. ทำให้มีอำนาจสั่งถอนใบอนุญาต
การพาดหัวหนังสือพิมพ์ว่า "จับทูตซาอุฯ บงการฆ่า 3 เพื่อนร่วมชาติ" นั้น ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดในทันทีนั้นว่ามีการจับทูต ซึ่งหมายถึงเอกอัครราชทูต หรืออัครราชทูต หรืออุปทูต หรือบุคคลในระดับเดียวกัน ฐานเป็นผู้บงการฆ่าเพื่อนร่วมชาติ 3 คน ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะความจริงในขณะนั้นยังไม่มีการจับเจ้าหน้าที่ระดับทูต หรือระดับใดของสถานทูตซาอุดิอาระเบีย ฉะนั้นการพาดหัวหนังสือพิมพ์ดังกล่าวจึงเป็นเท็จ เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามข้อ 2(6) และ ข้อ 4 แห่งคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานการพิมพ์สำหรับกรุงเทพมหานครผู้คัดค้านมีอำนาจที่จะดำเนินการแก่ผู้ร้องตามข้อ 7และปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องได้ถูกเตือน มาแล้ว 2 ครั้งแต่ยังฝ่าฝืนข้อ 4 ซ้ำอีก ดังนั้น เจ้าพนักงานการพิมพ์ผู้คัดค้านจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจ สั่งถอนใบอนุญาตบรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์ของผู้ร้องตามข้อ 7 วรรคสองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดแย้งในคำให้การและสิทธิในการกันส่วนทรัพย์สิน: จำเลยที่ 2 เปลี่ยนแปลงคำให้การ อ้างเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อกันส่วนทรัพย์สิน ศาลพิจารณาความขัดแย้งนี้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี ยื่นคำร้องขอกันส่วนอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งงดไต่สวนคำร้องและยกคำร้องของผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดกันระหว่างคำให้การเดิมกับคำร้องขอคุ้มครองทรัพย์สิน การที่ศาลยกคำร้องเนื่องจากผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ผู้ร้องเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าผู้ร้องมิได้เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้วคำพิพากษาดังกล่าวจึงย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ด้วย ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำสืบคดีข้างต้นฟังได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 2 รู้เห็นและร่วมด้วยในการที่จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินไปจากโจทก์หลายครั้ง จนน่าเชื่อว่าทรัพย์ที่ถูกโจทก์บังคับคดีนั้นส่วนหนึ่งเป็นเงินจากการกู้ยืมจากโจทก์นั่นเอง แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเหตุที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 ดังนี้ในชั้นร้องขอกันส่วน ผู้ร้องคือจำเลยที่ 2 จะกลับอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 คำให้การในฐานะเป็นจำเลยที่ 2จึงขัดกับคำร้องขอกันส่วน ผู้ร้องจึงร้องขอกันส่วนทรัพย์ที่ถูกบังคับคดีรายนี้ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2599/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดแย้งในคำให้การของผู้ร้องระหว่างคดีแพ่งและการร้องขอส่วนแบ่งทรัพย์สินจากการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในฐานะหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดี ยื่นคำร้องขอกันส่วนอ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งงดไต่สวนคำร้องและยกคำร้องของผู้ร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษคดีประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: ดุลพินิจศาลในการรอการลงโทษและการบรรเทาผลร้าย
จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายบางคนได้รับอันตรายแก่กาย และทรัพย์สินของผู้อื่นคือรถยนต์และรถจักรยานยนต์เสียหาย ซึ่งตามสภาพความผิดเป็นการประมาทอย่างร้ายแรงอันเป็นภัยต่อสาธารณชน แต่จำเลยเป็นพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทยตำแหน่งนายไปรษณีย์โทรเลขระดับ 4 โดยได้รับราชการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจมาเป็นเวลารวม 15 ปี กับมีหนังสือรับรองของบุคคลที่เคยรู้จักกับจำเลยรับรองว่า จำเลยเป็นผู้ที่มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เคยได้รับโทษจำคุก อีกทั้งปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ จำเลยได้นำเงิน 100,000 บาทมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อเป็นค่าเสียหายแก่ภริยาผู้ตายซึ่งเป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกจำเลย 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษ จึงเหมาะสมกับสภาพความผิดและพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีนี้แล้ว.