คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พัลลภ พิสิษฐ์สังฆการ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 606 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2288/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินโดยผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ เจ้าของมีสิทธิเรียกคืนได้ตามกฎหมาย
จำเลยร่วมมิใช่เจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาท การที่จำเลยร่วมโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้แก่จำเลยที่ 3 ดังนี้จำเลยที่ 3 ผู้รับโอนมิได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทจะถือว่าได้มีการโอนกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 ไม่ได้เพราะจำเลยร่วมผู้โอนไม่ใช่เจ้าของ และจำเลยที่ 3 จะยกเอาเหตุที่ได้รับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์คืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2282/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็ค การกำหนดวันเกิดความผิด และความสมบูรณ์ของคำฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) และอายุความ
ปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความเป็นปัญหาเกี่ยวกับความถูกต้องสมบูรณ์ของคำฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158(5) และอายุความเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้จำเลยเพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรรับวินิจฉัยให้ ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค หาใช่เกิดในวันที่จำเลยเขียนเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2279/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฝ่าฝืนคำสั่งหยุดโรงงานก่อความเดือดร้อน เสื่อมเสียสุขภาพประชาชน ศาลยืนโทษจำคุก
ตาม พ.ร.บ. โรงงานฯ มาตรา 36 ที่แก้ไขแล้วให้อำนาจอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม กฎหมาย ออกคำสั่งให้จำเลยหยุดประกอบกิจการโรงงานในส่วนหลอมโลหะทั้งหมดเพื่อขจัดเหตุเดือดร้อนรำคาญอันเนื่องมาจากกลิ่นเหม็นและเขม่า ควันของโรงงานซึ่งรบกวนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงได้ การที่จำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่โดยยังคงดำเนินกิจการต่อไปอีกนานถึง 2 เดือนเศษ เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านใกล้เคียงแสดงว่าจำเลยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน การใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษจึงเหมาะสมแก่รูปคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2218/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำลายเอกสาร (เช็ค) ที่ไม่ใช่ทรัพย์สินในการกระทำความผิด และผลกระทบต่อการริบของกลาง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฉ้อโกงนางสาว ส. ผู้เสียหายและทำลายเอกสารของนาย ธ. ผู้เสียหาย โดยจำเลยหลอกลวงว่าจำเลยเป็นผู้สื่อข่าวสามารถฝากนางสาว สง เข้าทำงานที่กรมตำรวจได้ และนางสาว ส.ต้องเสียเงินให้จำเลย30,000บาทจนนางสาวส.หลงเชื่อ แต่นาย ธ. ตรวจสอบพบว่าจำเลยไม่ใช่ผู้สื่อข่าวจึงนำเงิน 5,500 บาท มอบให้จำเลยเป็นค่ามัดจำค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานในการจับกุมจำเลย จำเลยรับเงินไว้แล้วสั่งจ่ายเช็คให้นาย ธ. ไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยได้แย่งเช็คดังกล่าวคืนมาจากนาย ธ. แล้วฉีกทำลายในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นาย ธ. เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาฐานความผิดทำลายเอกสารของผู้อื่น ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำฟ้องว่าเช็คดังกล่าวเป็นของผู้อื่น และการที่จำเลยทำลายนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นอันเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 แล้ว เช็คของกลางที่จำเลยฉีกขาดนั้น มิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จึงไม่อาจริบได้และต้องคืนให้เจ้าของ สำหรับของกลางในข้อหาฉ้อโกงที่ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งคืน จึงคืนให้เจ้าของ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2218/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำลายเอกสารของผู้อื่นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 แม้เช็คจะไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฉ้อโกงนางสาว ส. ผู้เสียหายและทำลายเอกสารของนาย ธ. ผู้เสียหาย โดยจำเลยหลอกลวงว่า จำเลยเป็นผู้สื่อข่าวสามารถฝากนางสาว สง เข้าทำงานที่กรมตำรวจได้ และนางสาว ส. ต้องเสียเงินให้จำเลย 30,000 บาท จนนางสาว ส.หลงเชื่อ แต่นาย ธ. ตรวจสอบพบว่าจำเลยไม่ใช่ผู้สื่อข่าวจึงนำเงิน 5,500 บาท มอบให้จำเลยเป็นค่ามัดจำค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นหลักฐานในการจับกุมจำเลย จำเลยรับเงินไว้แล้วสั่งจ่ายเช็คให้นาย ธ. ไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยได้แย่งเช็คดังกล่าวคืนมาจากนาย ธ. แล้วฉีกทำลายในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นาย ธ. เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาฐานความผิดทำลายเอกสารของผู้อื่น ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำฟ้องว่าเช็คดังกล่าวเป็นของผู้อื่น และการที่จำเลยทำลายนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น อันเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 แล้ว
เช็คของกลางที่จำเลยฉีกขาดนั้น มิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จึงไม่อาจริบได้และต้องคืนให้เจ้าของ สำหรับของกลางในข้อหาฉ้อโกงที่ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งคืน จึงคืนให้เจ้าของ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2218/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานทำลายเอกสารผู้อื่น: การพิจารณาความเป็นเจ้าของเอกสารและผลกระทบต่อความเสียหาย
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188 นั้น ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเอกสารนั้นเป็นของใคร เมื่อเช็ค เป็นของ ธ. การที่จำเลยแย่งมาฉีกทำลายจึงเป็นการทำลายเอกสารของผู้อื่น และเช็ค ที่จำเลยมอบให้ ธ. แล้วนั้นจะเป็นพยานหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่จะใช้ พิสูจน์การกระทำ ของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นการฉ้อโกง การที่จำเลยทำลายเอกสาร ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีแพ่งต้องผูกพันตามข้อเท็จจริงที่ยุติในคดีอาญา
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าสินไหมทดแทนฐาน ขับรถยนต์ โดย ประมาทเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตาย แต่ ปรากฏ ว่าโจทก์ได้ ฟ้อง จำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดต่อ ชีวิต และพ.ร.บ. จราจรทางบกฯศาลส่วนอาญาพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ดังนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46ในการพิพากษาคดีแพ่งศาลจำต้องถือ ข้อเท็จจริงตาม ที่ ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยไม่ได้ขับรถยนต์ โดย ประมาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉายภาพยนตร์ลามกและขัดขวางการตรวจค้นของเจ้าพนักงาน
การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าทำให้แพร่หลายด้วยการฉายภาพยนตร์ที่แสดงความสัมพันธ์ทางเพศ อันเป็นภาพลามกอนาจาร เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 287(1) และการที่จำเลยทั้งสามขัดขวางมิให้เจ้าพนักงานตำรวจงัดกุญแจเข้าไปตรวจค้นภายในห้องซึ่งจำเลยนำเอาเครื่องฉายภาพยนตร์และฟิล์มไปเก็บไว้การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาว่าประสงค์มิให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานในการตรวจค้นจับกุมลุล่วงไปโดยสะดวก ถือได้ว่าเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 138.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาในคดีสัญญาประกัน: ผลของกฎหมายที่ใช้บังคับ ณ วันยื่นฎีกา
ผู้ประกันยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2532 อันเป็นเวลาหลังจากที่ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มีผลใช้ บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาของผู้ประกันจึงต้อง พิจารณาตาม บทกฎหมายที่ใช้ ขณะยื่น ฎีกาซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว และใช้ บังคับในขณะที่ผู้ขอประกันยื่นฎีกาบัญญัติให้ฝ่ายผู้ถูกบังคับตาม สัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้ แต่ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด กรณีของผู้ประกันจึงเป็นที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2055/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยหลังพ.ร.บ.แก้ไขป.วิ.อาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 บัญญัติให้คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ในคดีผิดสัญญาประกันเป็นที่สุด
ผู้ประกันประกันตัวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาผู้ประกันผิดสัญญาประกันถูกศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันตามสัญญาประกันเป็นเงิน 300,000 บาท ผู้ประกันอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผู้ประกันยื่นฎีกาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2532 อันเป็นเวลาหลังจากที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มีผลใช้บังคับแล้ว สิทธิในการฎีกาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะยื่นฎีกา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว และ ใช้บังคับในขณะที่ผู้ประกันยื่นฎีกาบัญญัติไว้ว่า "กรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล ศาลมีอำนาจสั่งบังคับตามสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้องเมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ฝ่ายผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือพนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด" ดังนั้น กรณีของผู้ประกันจึงเป็นที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
of 61