คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นำชัย สุนทรพินิจกิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 858 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของรถยนต์ที่จอดตามคำแนะนำพนักงาน
โจทก์ได้เช่าห้องพักในโรงแรมของจำเลยและนำรถยนต์ไปจอดไว้ที่ถนนหน้าโรงแรมตามที่พนักงานโรงแรมบอกให้จอด เพราะที่จอดรถยนต์ภายในโรงแรมเต็ม เมื่อรถยนต์ของโจทก์หายไป จำเลยในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของรถยนต์ที่จอดไว้ตามคำแนะนำของพนักงาน
โจทก์เข้าพักในโรงแรมได้นำรถยนต์ไปจอดไว้ที่ถนนสาธารณะหน้าโรงแรมตามที่พนักงานโรงแรมบอกให้จอด เมื่อรถยนต์ของโจทก์หายไป จำเลยที่ 2ในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาดหุ้นเนื่องจากราคาขายต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ทำให้เจ้าหนี้เสียหาย
แม้ว่าการขายทอดตลาดหุ้นของบริษัท อ. มีผู้เข้าประมูลสู้ราคากันหลายรายรวมทั้งตัวแทนโจทก์ก็เข้าประมูล สู้ราคาด้วย ซึ่งแสดงว่าการดำเนินการขายทอดตลาดของ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ส่อพฤติการณ์ ทุจริตก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าบริษัท อ. จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท หุ้นของจำเลย 1,000 หุ้น จึงแตกออกเป็น 10,000 หุ้น และมี ราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ ขายทอดตลาดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 985,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคา ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 152,000 บาทอย่างมาก เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียอมรับว่าหากในขณะที่ประมูลซื้อขายกันตนทราบว่าหุ้นทั้งหมดมีราคาประมาณ 900,000 บาท ก็จะไม่อนุมัติให้ขาย กรณีจึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดี ขายหุ้นพิพาทไปโดยหลงผิด ทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตาม คำพิพากษาเสียหาย ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ที่โจทก์จะร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนการขายทอดตลาดหุ้น: เจ้าพนักงานบังคับคดีหลงผิดเรื่องราคาหุ้น
แม้ว่าการขายทอดตลาดหุ้นของบริษัท อ. มีผู้เข้าประมูลสู้ราคากันหลายรายรวมทั้งตัวแทนโจทก์ก็เข้าประมูลสู้ราคาด้วย ซึ่งแสดงว่าการดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ส่อพฤติการณ์ทุจริตก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าบริษัท อ.จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท หุ้นของจำเลย 1,000 หุ้น จึงแตกออกเป็น10,000 หุ้น และมีราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ขายทอดตลาดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 985,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 152,000 บาท อย่างมาก เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียอมรับว่าหากในขณะที่ประมูลซื้อขายกันตนทราบว่าหุ้นทั้งหมดมีราคาประมาณ900,000 บาท ก็จะไม่อนุมัติให้ขาย กรณีจึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายหุ้นพิพาทไปโดยหลงผิด ทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเสียหาย ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ที่โจทก์จะร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดหุ้นที่ราคาต่ำกว่าตลาดอย่างมากถือเป็นการหลงผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ทำให้การขายนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การขายทอดตลาดหุ้นบริษัท อ. มีผู้เข้าประมูลสู้ราคากันหลายรายรวมทั้งตัวแทนโจทก์ด้วย การดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ส่อพฤติการณ์ทุจริต แต่ปรากฏว่าบริษัท อ. ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท หุ้นของจำเลยจำนวน 1,000 หุ้นจึงแตกออกเป็น 10,000 หุ้น ซึ่งราคาหุ้นที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันขายทอดตลาดมีราคาหุ้นละ 98.50 บาท ฉะนั้นราคาหุ้นพิพาทตามราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ขายทอดตลาดเป็นเงิน 985,000 บาท แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้ผู้คัดค้านทั้งห้าในราคา 152,000 บาท ซึ่งหากเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบราคาหุ้นทั้งหมดก็จะไม่อนุมัติให้ขาย จึงถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายหุ้นพิพาทโดยหลงผิด เนื่องจากไม่รู้ราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งการที่ขายทอดตลาดหุ้นพิพาทต่างจากราคาในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากเช่นนี้ จำเลยย่อมเสียหายต่อการชำระหนี้ จึงให้เพิกถอนการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายเล็กน้อยโดยเจ้าพนักงานตำรวจ ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391
จำเลยเพียงแต่ใช้มือทำร้ายผู้เสียหายและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเพียงแต่ช้ำบวมที่หัวคิ้วขวาเท่านั้นไม่มีโลหิตออก ทั้งการที่แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลจะหายภายใน 10 วัน นั้น ก็เป็นแต่การคาดคะเน บาดแผลดังกล่าวอาจจะหายภายในเวลาไม่ถึง 10 วันก็ได้ พิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบด้วย แสดงว่าจำเลย คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ: การผิดสัญญา, การบอกเลิกสัญญา, ค่าซ่อมแซมรถ และสิทธิในการได้รับเงินคืน
โจทก์เช่าซื้อรถพิพาทจากจำเลยในราคา 500,000 บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา 100,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงแบ่งชำระเป็นรายเดือนโจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหลายงวดรวมเป็นเงิน 50,000 บาทได้มีการทำบันทึกข้อตกลงไว้ที่สถานีตำรวจว่า โจทก์จะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้จำเลย ฝ่ายจำเลยจะไปต่อทะเบียนเสียภาษีรถพิพาทให้โจทก์ โดยนัดกันในวันที่ 15 มีนาคม 2530 ข้อความดังกล่าวแสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ ดังนั้น จะถือว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญาไม่ได้ จำเลยจะบอกเลิกสัญญาเพราะเหตุนี้ยังไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำขึ้นใหม่ ครั้งถึงวันนัดโจทก์เตรียมตั๋วแลกเงินจำนวน 50,000 บาทไป แต่ฝ่ายจำเลยไม่ได้นำทะเบียนรถมาอ้างว่าจำเลยไปติดต่อเจ้าหน้าที่แล้วแต่ยังไม่ได้ทะเบียนมาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดข้อตกลงและผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผลแห่งการบอกเลิกสัญญาย่อมทำให้คู่ความแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับสู่ฐานะเดิม กล่าวคือ โจทก์ต้องคืนรถพิพาทให้จำเลยและต้องใช้เงินตามค่าแห่งการใช้สอยรถพิพาทให้จำเลยส่วนจำเลยก็ต้องคืนค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ โจทก์เช่าซื้อรถพิพาทจากจำเลยแล้วได้ทำการซ่อมแซมรถพิพาทโดยเปลี่ยนเฟืองท้ายโช้กอับ เพลากลาง และเปลี่ยนเบาะใหม่การซ่อมแซมดังกล่าวมิใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเล็กน้อย แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรเพื่อรักษารถพิพาทให้อยู่ในสภาพใช้งานและรับส่งคนโดยสารได้ จำเลยต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 547

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด-บอกเลิกสัญญา-ค่าซ่อมรถ: ศาลฎีกาตัดสินให้จำเลยชดใช้ค่าเช่าซื้อและค่าซ่อมรถตามสภาพ
โจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อรถคันพิพาทหลายงวด และได้ทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยว่าโจทก์จะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง 50,000 บาทให้จำเลย และฝ่ายจำเลยจะไปต่อทะเบียนเสียภาษีรถให้โจทก์โดยนัดกันวันที่ 15 มีนาคม 2530 ข้อตกลงดังกล่าวแสดงว่า จำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นข้อสาระสำคัญ จำเลยจะบอกเลิกสัญญาเพราะเหตุโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อไม่ได้แต่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำขึ้นกันใหม่ดังกล่าวเมื่อจำเลยผิดข้อตกลง โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และผลแห่งการบอกเลิกสัญญาย่อมทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนจำเลยต้องคืนค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ เมื่อโจทก์เช่าซื้อรถคันพิพาทจากจำเลยแล้วได้ทำการซ่อมแซมรถหลายรายการ เช่น เปลี่ยนเฟืองท้ายโช้คอัพ เพลากลาง การซ่อมแซมดังกล่าวมิใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเล็กน้อย แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรเพื่อรักษารถคันพิพาทให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 547

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงในคดีเถียงกรรมสิทธิ์ที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 10,000 บาท
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 10,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงในคดีเถียงกรรมสิทธิ์ที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 10,000 บาท
โจทก์ฟ้องขอให้สั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้จำเลยรื้อถอนหลักไม้แก่นที่ปักไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไป ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอันมีลักษณะเป็นการเถียงกรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 10,000 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(4)
of 86